คู่บ่าวสาวในอเมริกา มักเลือกจัดพิธีแต่งงานกันในฤดูร้อน อากาศแจ่มใส แต่ก็มีคู่บ่าวสาวจำนวนไม่น้อย ที่เลือกจัดพิธีแต่งงานในฤดูหนาว ที่อุณหภูมิอาจลดลงถึงจุดเยือกแข็งได้ พิธีแต่งงานในฤดูหนาวที่ว่านี้ นอกจากจะต้องผจญกับอากาศหนาวเย็นและพายุหิมะที่อาจเกิดขึ้นได้แล้ว ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่อาจคิดไม่ถึงกัน ได้แก่ ดอกไม้ที่นำมาประดับในงานพิธีกลางหนาว
คุณ Cindy Hicks ชาวมลรัฐมิชิแกน เป็นผู้เชียวชาญด้านการจัดดอกไม้ ซึ่งเคยได้รับคัดเลือกให้จัดดอกไม้ประดับสถาบันศิลปะ Detroit ติดต่อกันมานานหลายปี
คุณซินดี้ อธิบายถึงการจัดดอกไม้ประดับพิธีแต่งงานว่า เธอเคยต้องจัดดอกไม้ประดับงานแต่งงานในเดือนธันวาคม ที่อุณหภูมิกลางแจ้งลดต่ำลงถึง ลบหกองศาเซลเซียส ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง แต่เจ้าสาว ต้องการจะถ่ายรูปกลางแจ้งในหิมะ คุณซินดี้เลยบอกเจ้าสาวว่า จะพยายามจัดดอกไม้ไว้ประกอบรูปให้ได้ ถ้าดอกไม้ช่อไหน ทนหนาวไม่ได้ก็จะเตรียมช่ออื่นสำรองไว้ให้
ในพิธีแต่งงานในอเมริกานั้น ดอกไม้ มีส่วนสำคัญยิ่ง นอกจากจะต้องมีดอกไม้ประดับโบสถ์และสถานที่เลี้ยงรับรองแล้ว เจ้าสาวยังต้องถือช่อดอกไม้ ที่เมื่อใกล้เสร็จงานพิธี เจ้าสาวจะต้องโยนช่อดอกไม้นี้ไปกลางอากาศ ให้สาวๆในงานรับ ว่ากันว่า สาวน้อยผู้โชคดีที่คว้าช่อดอกไม้นี้ไว้ได้ จะได้เป็นเจ้าสาวคนต่อไป
คุณซินดี้ อธิบายว่า ช่อดอกไม้นั้น มักออกแบบให้มีเอกลักษณ์เป็นของคู่บ่าวสาวแต่ละคู่ โดยอาจใช้ดอกไม้ที่เจ้าบ่าว เคยมอบให้กับเจ้าสาว เวลาที่จีบกันใหม่ๆ หรือใช้ดอกไม้ที่มีสีสรร กลมกลืนกับสีพื้นประกอบพิธีแต่งงานในวันนั้น หรือไม่ก็เป็นดอกไม้ประจำเดือนเกิดของเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าว เป็นต้น นอกจากนั้น คุณซินดี้ ยังเคยใช้ดอกไม้แห้ง ที่เคยประดับอยู่ในช่อดอกไม้ของคุณแม่เจ้าสาว เมื่อครั้งงานแต่งงานของคุณพ่อคุณแม่เจ้าสาวมาประดับด้วย
ตามประเพณีอเมริกันนั้น เจ้าสาวมักนิยมใช้เสื้อผ้าเครื่องประดับสี่ประเภท ได้แก่ เครื่องประดับที่ขอยืมมาใส่ เครื่องประดับสีฟ้า ซึ่งอาจเป็นพลอยไพลิน เครื่องประดับของเก่าที่เป็นสมบัติตกทอดมาจากบรรพบุรุษ และ
เครื่องประดับที่ซื้อมาใหม่ ซึ่งมักได้แก่แหวนแต่งงาน หน้าที่ของนักจัดดอกไม้ก็คือ อาจจะต้องหาทางนำเครื่องประดับสี่ประเภทนี้มาประกอบในช่อดอกไม้ เพื่อสื่อให้พิธีแต่งงาน มีความหมายมากขึ้น ทั้งแก่คู่บ่าวสาวและครอบครัว
ชนิดา อังคณารักษ์ ถ่ายทอดการสัมภาษณ์มาเสนอ
