ขณะนี้อียิปต์ซึ่งเคยเป็นประเทศผู้ปลูกข้าวสาลีรายใหญ่ต้องนำเข้าข้าวสาลีมากที่สุดในโลก และราคาข้าวสาลีที่สูงขึ้น 60% เมื่อปีที่แล้วทำให้ราคาอาหารในอียิปต์สูงขึ้นมาก และรัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้มากเพราะประเทศมีหนี้สินล้นตัวอยู่แล้ว และอียิปต์ไม่ได้มีรายได้จากการขายน้ำมันเหมือนในอีลจีเรีย
นักวิเคราะห์ชี้ว่าเรื่องนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดการต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีมูบารัค โดยคุณ Marie Brill แห่งหน่วยงาน ActionAid ชี้ว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นผลมาจากการผลักดันนโยบายในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ของสหรัฐฯ ธนาคารโลก และ IMF ที่กระตุ้นให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายนำเข้าข้าวสาลีจากสหรัฐฯ และที่อื่นๆ ในราคาที่ถูกกว่า ทำให้ขณะนี้อียิปต์ต้องอ่อนไหวจากความผันผวนของราคาข้าวสาลีในตลาดโลกเป็นอย่างมาก
แต่คุณ Mahamed Eljahmi นักรณรงค์ด้านประชาธิปไตยชี้ว่าปัญหาในอียิปต์มีรากลึกมากกว่านั้น เพราะมาจากนโยบายการปฏิรูปที่ดินในทศวรรษที่ 1950 รวมถึงปัญหาคอรัปชั่น การขาดธรรมาภิบาล และการขาดความรับผิดชอบของรัฐบาลด้วย คุณ Eljahmi บอกด้วยว่านโยบายที่ถูกต้องสำหรับการแก้ปัญหาอาหารแพง คือรัฐบาลต้องใช้มาตรการช่วยเหลือที่ถึงตัวคนยากจน ไม่ใช่นโยบายควบคุมราคาหรือการให้เงินอุดหนุนเพื่อตรึงราคาอาหาร ซึ่งแม้จะทำง่ายกว่าแต่ก็ต้องใช้เงินมากและมีผลเสียต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
ขณะนี้ตัวเลขขององค์การอาหารและการเกษตรของสหประชาชาติ (FAO) แสดงว่ามีประเทศรายได้ต่ำ 77 ประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารเป็นอย่างมาก และประเทศเหล่านี้คงจับตามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอียิปต์อย่างใกล้ชิด บรรดานักวิเคราะห์มีความเห็นตรงกันว่าโอกาสของการประท้วงในประเทศต่างๆ คงจะเพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับราคาอาหารที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
