บริษัทอเมริกันกำลังมองหาลู่ทางลงทุนตลาดต่างประเทศแทนการพึ่งพาตลาดในประเทศ

บริษัท Tystar ผู้ผลิตเตาหลอมพิเศษในรัฐแคลิฟอร์เนียคือตัวอย่างหนึ่งของบริษัทอเมริกันที่เริ่มมองหาลู่ทางลงทุนในตลาดต่างประเทศในช่วงเกิดวิกฤตการณ์การเงินโลกเมื่อ 3 ปีก่อน คุณ Jim Smith ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Tystar เปิดเผยว่า บริษัทต้องส่งสินค้าไปขายถึงประเทศจีน สิงคโปร์และเกาหลีใต้ เพื่อให้อยู่รอดในช่วงเศรษฐกิจถดถอย แต่คุณ Smith ยอมรับว่าการทำตลาดต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอุปสรรคด่านแรกคือเรื่องภาษา และวัฒนธรรมการดำเนินธุรกิจในแต่ละประเทศก็แตกต่างจากการทำธุรกิจในสหรัฐ

ด้านคุณ Vance Baugham ประธานสมาคม World Trade Center ที่นครลอสแองเจลลีส ชี้ว่าบริษัทต่างๆที่ต้องการสร้างตลาดในต่างประเทศต้องมีเงินทุนและทรัพยากรเพียงพอ แต่บริษัทส่วนใหญ่ในสหรัฐเป็นบริษัทขนาดเล็กและมีทรัพยากรจำกัดซึ่งส่วนใหญ่ใช้ทรัพยากรเต็มที่แล้วกับตลาดภายในประเทศ การเสาะหาทรัพยากรต่างๆเพิ่มเพื่อสนับสนุนตลาดต่างประเทศจึงเป็นเรื่องยาก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงมีบริษัทอเมริกันเพียง 15% ที่เปิดตัวสู่ตลาดโลก

แต่ปัจจุบันการใช้จ่ายของผู้บริโภคอเมริกันลดลงมาก ตลาดภายในประเทศหดตัวลง คุณ Jim MacLellan ผอ.ฝ่ายพัฒนาการค้าที่ท่าเรือ Los Angeles จึงแนะนำว่าบริษัทอเมริกันควรมุ่งขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศบ้าง เนื่องจาก 95% ของผู้บริโภคทั่วโลกอยู่นอกสหรัฐ

คุณ Jim MacLellan บอกว่าปัจจุบันบริษัทในสหรัฐมีข้อได้เปรียบเพราะค่าเงินดอลล่าร์อ่อนตัว สินค้าจากสหรัฐจึงถูกลงเมื่อเทียบกับสินค้าจากประเทศอื่น และว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปริมาณการส่งออกสินค้าจากท่าเรือต่างๆในรัฐแคลิฟอร์เนียเพิ่มขึ้นราว 34-50%

ตามปกตินั้น บริษัทเล็กๆในสหรัฐจะค่อยๆขยายธุรกิจของตนอย่างช้าๆเริ่มจากการขายสินค้าในท้องถิ่น ไปเป็นระดับรัฐและระดับประเทศ แล้วจึงขยายไปตลาดต่างประเทศ แต่คุณ Vance Baugham ประธานสมาคม World Trade Center บอกว่าขณะนี้เริ่มมีแนวโน้มใหม่เกิดขึ้นแล้ว คือการเริ่มต้นจากตลาดท้องถิ่นแล้วก้าวกระโดดไปตลาดต่างประเทศทันที

อย่างไรก็ตาม คุณ Baugham ชี้ว่าไม่ใช่แค่บริษัทอเมริกันเท่านั้นที่พยายามหาลู่ทางลงทุนในต่างประเทศ แต่บริษัทต่างชาติเองก็กำลังพยายามหาทางเจาะตลาดในอเมริกาเช่นกัน รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐเพื่อลดต้นทุนและลดค่าขนส่งสินค้าด้วย