REDD ย่อมาจาก Reducing Emission from Deforestation and Degradation
ทฤษฎีพื้นฐานของยุทธวิธีนี้ คือ ป่าไม้ที่ยังยืนต้นอยู่ มีค่ากว่าต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นล้มทำลาย และเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ กลไกของโครงการ REDD Plus [REDD+] ให้ค่าทางการเงินสำหรับก๊าซคาร์บอนที่เก็บกักอยู่ในต้นไม้ ซึ่งประเทศพัฒนาก้าวหน้าจะสามารถลงทุนในป่าไม้ที่ยืนต้นอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาได้ เพื่อชดเชยการที่ประเทศพัฒนาก้าวหน้าก่อให้เกิดก่าซคาร์บอน หรือก๊าซเรือนกระจก
ในการประชุมเรื่องสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 17 ขององค์การสหประชาชาติ ที่เรียกย่อ ๆ ว่า COP17 ที่เมืองเดอร์บัน ในแอฟริกาใต้ Rane Cortez ที่ปรึกษาของ REDD+ สำหรับกลุ่มทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อม The Nature Conservancy ผู้ทำงานกับโครงการ REDD+ ในบราซิล กล่าวว่า หากจ่ายเงินให้ชุมชนท้องถิ่น ให้สิ่งกระตุ้น และโครงการของรัฐบาลสำหรับชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถรักษาป่าไม้ให้คงยืนต้นอยู่ได้ และยังคงสามารถมีวิถีชีวิตที่ดีอยู่ในพื้นที่นั้นได้โดยไม่ต้องหักร้างถางพงตัดไม้ทำลายป่า ก็จะสามารถได้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นประโยชน์สำหรับชุมชนท้องถิ่น และมีผลประโยชน์สำหรับสภาพภูมิอากาศ
กลุ่ม The Nature Conservancy เริ่มทำงานในโครงการ REDD+ ตามที่ต่าง ๆ ในละตินอเมริกาในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 และยังมีโครงการอนุรักษ์ป่าไม้อื่น ๆ เกิดขึ้นในเอเชียและแอฟริกาด้วย โครงการเหล่านี้ล้วนอยู่บนพื้นฐานความตกลงทวิภาคี หรือพหุภาคี ระหว่างรัฐบาลกับองค์การหน่วยงานให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ และเงื่อนไขหรือข้อกำหนดของแต่ละโครงการมีความแตกต่างกันเป็นราย ๆ ไป แต่ผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุมเรื่องสภาพภูมิอากาศก่อนหน้านี้ที่เมืองแคนคูน ประเทศเม็กซิโก ตกลงเห็นชอบให้ทำให้ระบบนี้มีความเป็นสากล โดยจัดตั้งมาตรการระหว่างประเทศในการรักษาความปลอดภัยและสามารถตรวจสอบได้
Sarene Marshall ผู้อำนวยการจัดการด้านสภาพภูมิอากาศของกลุ่ม The Nature Conservancy กล่าวว่า โครงการ REDD+ เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่สามารถตกลงกันได้ในการประชุมเรื่องสภาพภูมิอากาศ COP17 เธอกล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว ใกล้มีความเห็นเป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประเทศต่าง ๆ ตั้งแต่ประเทศที่มีป่าดงดิบ ไปจนถึงประเทศพัฒนาก้าวหน้า ล้วนเห็นความสำคัญที่จะต้องดำเนินการในด้านป่าไม้ ทั้งในการควบคุมการก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอน และการคุ้มครองป่าไม้เพื่อประโยชน์ด้านสภาพภูมิอากาศและด้านอื่น ๆ