สำนักข่าวเอพีรายงานว่า รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่กำหนดให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่าง ๆ ต้องพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันผู้ขับขี่ที่อยู่ในอาการมึนเมาไม่ให้ขับรถยนต์
โดยร่างกฎหมายใหม่นี้จะอยู่ในงบประมาณสำหรับการยกระดับความปลอดภัยทางรถยนต์มูลค่า 17,000 ล้านดอลลาร์ ที่ถูกรวมไว้ในแผนพัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของอเมริกามูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตรียมลงนามเร็ว ๆ นี้
รัฐมนตรีคมนาคมสหรัฐฯ พีท บูดิเจ็จ กล่าวในวันจันทร์ว่า การลงทุนในด้านความปลอดภัยบนท้องถนนนี้ยังอาจรวมถึงการสร้างเลนจักรยานเพิ่มขึ้นและเพิ่มพื้นที่สีเขียวควบคู่ไปกับถนนหลักต่าง ๆ ด้วย
ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่ รถยนต์ทุกคันที่ออกสู่ตลาดในปี ค.ศ. 2026 จะต้องติดตั้งระบบตรวจสอบว่าผู้ขับขี่มีอาการมึนเมาหรือไม่ หลังจากที่มีการวิเคราะห์ประเมินแล้วว่าเทคโนโลยีประเภทใดที่ดีที่สุดในการป้องกันพฤติกรรม 'เมาแล้วขับ'
แซม อาบูเอลซามิด นักวิเคราะห์แห่ง Guidehouse Insights กล่าวว่า เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการป้องกันเมาแล้วขับ คือกล้องอินฟาเรดที่คอยตรวจจับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ว่ามองที่ถนนตลอดเวลาหรือไม่ มีอาการง่วงซึมหรือมึนเมา หรือมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนขณะขับขี่หรือไม่
และหากพบว่ามีสิ่งผิดปกติ รถยนต์จะส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบ แต่ถ้าอาการดังกล่าวยังมีอยู่ต่อไป รถยนต์คันนั้นอาจเปิดไฟฉุกเฉินหรืออาจชะลอความเร็วและจอดเข้าข้างทางโดยอัตโนมัติ
เทคโนโลยีดังกล่าวตอนนี้มีใช้แล้วในรถยนต์ของหลายบริษัท รวมทั้ง General Motors, BMW และ Nissan
เมื่อเดือนที่แล้ว สำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NHTSA รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในสหรัฐฯ 20,160 คนเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 โดยปัจจัยหลักคือ การขับเร็วเกินกำหนด ผู้ขับขี่มีอาการมึนเมา รวมทั้งการไม่สวมเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น
NHTSA ระบุด้วยว่า แต่ละปีในสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มมึนเมาราว 10,000 คน คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของผู้เสียชีวิตจากการจราจรบนท้องถนนทั้งหมด