ลิ้งค์เชื่อมต่อ

 วอชิงตันจัดพิธีศพรำลึก “โคลิน พาวเวลล์” รมต. ต่างประเทศผิวดำคนแรกของสหรัฐฯ  


A military bearer team carries the casket after the funeral for former Secretary of State Colin Powell at the Washington National Cathedral, in Washington, Friday, Nov. 5, 2021. (AP Photo/Andrew Harnik)
A military bearer team carries the casket after the funeral for former Secretary of State Colin Powell at the Washington National Cathedral, in Washington, Friday, Nov. 5, 2021. (AP Photo/Andrew Harnik)

เมื่อวันศุกร์ มีการจัดพิธีศพของพลเอกโคลิน พาวเวลล์ ที่อาสนวิหารแห่งชาติวอชิงตัน โดยมีเพื่อน สมาชิกในครอบครัว และอดีตเพื่อนร่วมงานเข้าร่วมไว้อาลัยแด่พลเอกพาวเวลล์ นายทหารและนักการทูตจากครอบครัวชนชั้นแรงงานในย่านบรองซ์ มหานครนิวยอร์ก และต่อมาเป็นประธานคณะเสนาธิการร่วมผิวดำคนแรก และรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ผิวดำคนแรก ตามรายงานของสำนักข่าว The Associated Press

นายทหารระดับสูงผู้นี้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม จากภาวะแทรกซ้อนของโรคโควิด-19 ด้วยวัย 84 ปี แม้จะได้รับวัคซีนต้านโควิดก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม ครอบครัวของเขาระบุว่า ระบบภูมิคุ้มกันของเขาอ่อนแอลงจากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่เขารับการรักษาอยู่

ผู้เข้าร่วมงานมีทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน อดีตผู้นำสหรัฐฯ สองคน คือ จอร์จ ดับเบิลยู บุช และบารัค โอบามา อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสามคน ได้แก่ นายเจมส์ เบเคอร์ นางสาวคอนโดลีซซา ไรซ์ และนางฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีกลาโหม นายโรเบิร์ต เกตส์ และประธานคณะเสนาธิการร่วมคนปัจจุบัน พลเอกมาร์ค มิลลีย์

President Joe Biden, first lady Jill Biden, former President Barack Obama, former first lady Michelle Obama, former President George W. Bush stand during a funeral service for former Secretary of State Colin Powell, Washington National Cathedral, Nov. 5,
President Joe Biden, first lady Jill Biden, former President Barack Obama, former first lady Michelle Obama, former President George W. Bush stand during a funeral service for former Secretary of State Colin Powell, Washington National Cathedral, Nov. 5,


อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ไม่ได้เข้าร่วมพิธีเนื่องจากอยู่ในช่วงพักฟื้นจากอาการติดเชื้อรุนแรง ทางด้านอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่เข้าร่วมพิธีเช่นกัน โดยพลเอกพาวเวลล์เคยวิจารณ์ทรัมป์ระหว่างดำรงตำแหน่ง และทรัมป์ก็วิจารณ์นายทหารผู้นี้หลังเขาเสียชีวิตเช่นกัน

ผู้กล่าวบทสรรเสริญพลเอกพาวเวลล์มีทั้งนางแมเดอลีน อัลไบรท์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศผู้รับตำแหน่งต่อจากเขา นายริชาร์ด อาร์มิเทจ อดีตรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของพลเอกพาวเวลล์ และเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาตั้งแต่สมัยทำงานที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในยุครัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน รวมถึงนายไมเคิล พาวเวลล์ บุตรชายของอดีตรัฐมนตรีผู้ล่วงลับด้วย

ทั้งนี้ ในช่วงที่นางอัลไบรท์ดำรงตำแหน่งทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติในยุครัฐบาลอดีตประธานาธิบดีคลินตัน เธอขัดแย้งกับพลเอกพาวเวล์เป็นระยะ แม้ต่อมาทั้งสองจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ตาม ในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานคณะเสนาธิการร่วมของพลเอกพาวเวลล์ นางอัลไบรท์เห็นว่ากองทัพสหรัฐฯ ที่มีแสนยานุภาพควรแทรกแซงกิจการในคาบสมุทรบอลข่าน จนพลเอกพาวเวลล์ไม่พอใจอย่างมาก เขาระบุว่า“ผมคิดว่าผมจะเป็นเส้นเลือดโป่งพองเลยทีเดียว”

พลเอกพาวเวลล์เห็นว่า กองทัพสหรัฐฯ ควรเคลื่อนไหวต่อเมื่อมีจุดประสงค์ทางการเมืองที่ชัดเจนและปฏิบัติตามได้ ซึ่งต่อมาเป็นหลักการที่รู้จักกันในนาม “ลัทธิพาวเวลล์” (Powell Doctrine)

Powell Funeral
Powell Funeral

เรื่องราวของพลเอกพาวเวลล์กลายเป็นแรงบันดาลใจทางประวัติศาสตร์ให้ชาวอเมริกัน โดยในหนังสืออัตชีวประวัติ “เส้นทางอเมริกันของผม” (My American Journey) เขาเขียนถึงชีวิตวัยเด็กของเขาในยุคหลังภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ ในย่านเซาธ์ บรองซ์ มหานครนิวยอร์ก ที่เขาเป็นเด็กนักเรียนใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมาย มีความสุขไปวันๆ

เขามีประสบการณ์ทหารครั้งแรกระหว่างศึกษาชั้นปีแรกในวิทยาลัย City College of New York เมื่อปีค.ศ. 1954 โดยเขาได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนนักเรียนที่สวมชุดเครื่องแบบ โดยเขาสมัครเข้าเป็นนักศึกษาวิชาทหารก่อนประสบความสำเร็จในสายการทหารในเวลาต่อมา

พลเอกพาวเวลล์รับราชการทหารเป็นเวลา 35 ปี โดยได้รับยศร้อยตรีเมื่อปีค.ศ. 1958 และดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดในเยอรมนีตะวันตก ก่อนประจำการในเวียดนามเมื่อปีค.ศ. 1962 เป็นเวลาหนึ่งปีในฐานะที่ปรึกษากองพันทหารราบของเวียดนามใต้ โดยการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้เองที่เขาได้รับบาดเจ็บ ก่อนกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในเวียดนามอีกครั้งในปีค.ศ. 1968 และปฏิบัติหน้าที่อีกหลายครั้งทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ

พลเอกพาวเวลล์มีบทบาทโดดเด่นที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แม้ก่อนที่เขาจะได้รับยศระดับสูง ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 เขาทำงานให้สำนักรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และในปีค.ศ. 1983 เขาเป็นผู้ช่วยทหารอาวุโสของนายแคสเปอร์ ไวน์เบอร์เกอร์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ขณะดำรงตำแหน่งพลจัตวา ต่อมาเขารับตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวในยุคอดีตประธานาธิบดีเรแกน และได้รับยศนายพลสี่ดาวในปีค.ศ. 1989 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช แต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งประธานคณะเสนาธิการร่วม

อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เคยกล่าวว่า พลเอกพาวเวลล์เป็นที่ชื่นชอบของอดีตผู้นำสหรัฐฯ หลายคน จนเขาได้รับเหรียญอิสรภาพประธานาธิบดี (Presidential Medal of Freedom) ซึ่งเป็นเครื่องอิสริยาภรณ์สูงสุดของสหรัฐฯ ถึงสองครั้ง

Michael Powell touches the casket of his father, former Secretary of State Colin Powell, as he walks to give a eulogy during a funeral service at the Washington National Cathedral, Nov. 5, 2021, in Washington. President Joe Biden looks on.
Michael Powell touches the casket of his father, former Secretary of State Colin Powell, as he walks to give a eulogy during a funeral service at the Washington National Cathedral, Nov. 5, 2021, in Washington. President Joe Biden looks on.


พลเอกพาวเวลล์ยังได้รับการยกย่องโดยนานาชาติด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 เขากล่าวต่อสหประชาชาติในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ สนับสนุนการทำสงครามอิรัก แต่ต่อมา มีการพบว่าแหล่งข่าวกรองที่เขาอ้างอิงเป็นแหล่งข่าวเท็จ และสงครามอิรักกลายเป็นเหตุการณ์วุ่นวาย มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทำให้ชื่อเสียงของพลเอกพาวเวลล์เสื่อมถอยลง

อย่างไรก็ตาม หลังเขายุติบทบาทกับรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว เขายังคงเป็นรัฐบุรุษในเวทีโลกและก่อตั้งองค์กรช่วยเหลือเยาวชนอเมริกันที่ขาดโอกาส พรรครีพับลิกันต้องการให้เขาลงชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ แต่ต่อมาเขาสนับสนุนผู้ท้าชิงตำแหน่งดังกล่าวจากพรรคเดโมแครตสามคนล่าสุด ที่ต้อนรับการสนับสนุนของเขาด้วยเช่นกัน


อิทธิพลของพลเอกพาวเวลล์ยังคงอยู่แม้เขาจะเกษียณอายุแล้ว โดยพลเอกลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ผิวดำคนแรกที่ดำรงตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา นับถือพลเอกพาวเวลล์ว่าเป็นเพื่อนและที่ปรึกษาของเขา โดยในวันที่พลเอกพาวเวลล์เสียชีวิต พลเอกออสตินกล่าวว่า “เขาเป็นหนึ่งในผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราเคยพบ”

(ที่มา: สำนักข่าว The Associated Press)

XS
SM
MD
LG