คุณ Alla Shapiro ผู้เคยทำงานที่สถาบันโลหิตวิทยาและการถ่ายเลือดในกรุง Kyiv เมื่อช่วงที่เกิดเหตุการณ์ที่โรงไฟฟ้า Chernobyl เล่าว่าหลังจากทราบข่าวการระเบิด เธอและแพทย์คนอื่นๆถูกส่งไปยังพื้นที่ประสบภัย เพื่อเก็บตัวอย่างเลือดของประชาชนในบริเวณนั้น
เธอบอกว่า ประชาชนในหมู่บ้านรอบๆโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Chernobyl ไม่มีการป้องกันภัยจากกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล ไม่มีใครให้สารโปแตสเซียมไอโอไดด์แก่เด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้คนยังคงใช้ชีวิต ใช้สิ่งของต่างๆ เก็บของป่าและเผาใบไม้ต่างๆตามปกติ ควันไฟผสมกับสารพิษจึงล่องลอยปะปนนอากาศก่อนที่ชาวบ้านจะสูดดมเข้าไปเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
ปัจจุบัน คุณ Shapiro ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ให้กับสำนักงานต่อต้านการก่อการร้ายและความร่วมมือฉุกเฉิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์วิจัยของสำนักงานอาหารและยาสหรัฐหรือ FDA ภารกิจของคุณ Shapiro คือการเตรียมพร้อมให้แก่ประชาชนในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน ซึ่งรวมถึงสารกัมมันตรังสีและการโจมตีด้วยอาวุธเคมี อาวุธชีวภาพหรืออาวุธนิวเคลียร์จากผู้ก่อการร้าย
คุณ Alla Shapiro กล่าวว่าสิ่งสำคัญคือการเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด ซึ่งรวมถึงการฝึกฝนเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และแจ้งข่าวต่อประชาชนให้เร็วที่สุด โดยในช่วงเริ่มต้นเมื่อมีสัญญาณว่าเกิดสารพิษรั่วไหล ประชาชนควรหลบลงหลุมหลบภัยหรือที่ปลอดภัยต่างๆแล้วจึงค่อยๆอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ ส่วนในกรณีที่เกิดสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลออกมาแล้วนั้น ประชาชนควรได้รับสารโปแตสเซียมไอโอไดด์อย่างทั่วถึง
คุณ Shapiro ระบุว่าบทเรียนอีกอย่างที่มีค่าทางการแพทย์ซึ่งเรียนรู้จากเหตุการณ์อุบัติเหตุที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Chernobyl คือรอยไหม้ตามร่างกายที่เกิดจากกัมมันตภาพรังสีสามารถบ่งบอกได้ถึงอาการและผลที่จะเกิดกับผู้ป่วย กล่าวคือหากเป็นรอยไหม้ร้ายแรง ผู้ป่วยมีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิต แม้ผู้ป่วยผู้นั้นจะผ่านการปลูกถ่ายไขกระดูกมาแล้ว
ปัจจุบัน FDA กำลังพัฒนายาป้องกันหรือลดผลกระทบของการได้รับสารกัมมันตรังสีเข้าสู่ร่างกาย โดยคุณ Shapiro ได้อาศัยประสบการณ์จากภัยพิบัติเมื่อ 25 ปีก่อนมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนายาดังกล่าวรวมกับบริษัทยาและสถาบันวิจัยอื่นๆ ด้วย
เธอสรุปส่งท้ายว่า แม้ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหลายครั้งจะถือเป็นโศกนาฎกรรมต่อมวลมนุษย์ แต่เหตุการณ์เหล่านั้นก็สอนบทเรียนบางอย่างอยู่เสมอ อยู่ที่ใครจะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสารและบทเรียนเหล่านั้นได้มากแค่ไหน