“ทรัมป์” ลงนามกฎหมายผ่อนคลายการควบคุมสถาบันการเงิน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามกฎหมายผ่อนคลายการควบคุมสถาบันการเงิน ที่บังคับใช้หลังจากวิกฤตการเงินสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 2008 และในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ของอเมริกา
กฎหมายฉบับใหม่นี้ ผ่อนคลายกฎระเบียบควบคุมสถาบันการเงิน ที่มีสินทรัพย์ต่ำกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เหลือเพียงสถาบันการเงินขนาดใหญ่เพียงหยิบมือที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด
ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวหลังพิธีลงนามกฎหมายใหม่ ซึ่งเป็นการแก้ไขกฏหมายปฏิรูปสถาบันการเงิน Dodd-Frank ที่มีผลบังคับใช้ช่วงปี ค.ศ. 2010 ที่ทรัมป์มองว่าเป็นกฎหมายที่มุ่งทำลายสถาบันการเงินขนาดเล็ก และเป็นส่วนหนึ่งในการลดกฎระเบียบควบคุมเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทั้งนี้ กฎหมายปฏิรูปสถาบันการเงิน Dodd-Frank มีขึ้นในยุคของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพื่อต่อสู้กับวิกฤตการเงินสหรัฐฯช่วงปี ค.ศ. 2008 ที่ทำให้สูญเสียตำแหน่งงานถึง 8 ล้านตำแหน่ง บ้านเรือนกว่า 2.5 ล้านหลังถูกยึด และธุรกิจอีก 2.5 ล้านบริษัทต้องปิดตัว ตามข้อมูลของสถาบันด้านการวิจัยนโยบายของมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น
ทรัมป์เสนอปรับโครงสร้างแผนเจรจาการค้ากับจีน
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เสนอปรับโครงสร้างแผนเจรจาการค้ากับจีน แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใด
โดยทรัมป์ ทวีตข้อความถึงเรื่องนี้เมื่อวันพุธว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ในที่สุดแล้วสหรัฐฯจะต้องใช้โครงสร้างที่แตกต่างในเรื่องนี้ ซึ่งอาจจะยากเกินไปในการบรรลุข้อตกลงจากการเจรจาและยากต่อการพิสูจน์ผลสัมฤทธิ์หลังบรรลุข้อตกลงแล้ว
ในมุมมองของวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐฟลอริดา มาร์โก รูบิโอ ผู้ที่วิพากษ์โจมตีจีน มองว่า สหรัฐฯ ต้องปรับโครงสร้างการค้ากับจีนมากกว่าแก้ปัญหาการขาดดุล พร้อมแนะทรัมป์ ให้เชื่อสัญชาตญาณของตัวเองในเรื่องของจีน และให้ฟังความเห็นจากคนที่รู้ว่าว่าข้อตกลงการค้าระยะสั้นอาจฟังดูดีแต่ให้ผลกระทบเลวร้ายในระยะยาว
ทั้งนี้ สื่อในสหรัฐฯ จับตาท่าทีขัดแย้งภายในทีมเศรษฐกิจของทรัมป์ ที่มีทั้งกลุ่มสนับสนุนการค้าเสรี เช่น สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ และผู้ที่สนับสนุนการปกป้องการค้าของประเทศ เช่น โรเบิร์ต ไลท์ธิเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และปีเตอร์ นาแวร์โร ที่ปรึกษานโยบายการค้าของทำเนียบขาว
