เมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ คะแนนนิยมรวมระดับชาติของประธานาธิบดีไบเดนอยู่ที่เกือบ 55% จากการรวบรวมของเวปไซต์ FiveThirtyEight แต่ผลการสำรวจของมหาวิทยาลัย Quinnipiac เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแสดงว่าคะแนนนิยมสำหรับการทำงานของประธานาธิบดีไบเดนลดลงเหลือเพียง 38% ซึ่งนักวิเคราะห์การเมืองชี้ว่าเกิดจากปัญหาสะสมหลายด้านด้วยกัน และทางออกคือจะต้องเร่งผลักดันแผนลงทุนมหาศาลเพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างงานให้คนอเมริกัน
คุณโรเบิร์ต คอลลิน อาจารย์ผู้สอนวิชานโยบายสาธารณะที่มหาวิทยาลัย Dillard University ในเมืองนิวออร์ลีนส์ชี้ว่ามีปัจจัยหลายอย่างซึ่งส่งผลให้คะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีไบเดนตกต่ำลง นับตั้งแต่เรื่องการถอนทหารอย่างฉุกละหุกออกจากอัฟกานิสถาน การเสียชีวิตของทหารอเมริกันที่สนามบินกรุงกาบูล ปัญหาวิกฤตเกี่ยวกับผู้อพยพข้ามพรมแดนด้านเม็กซิโก รวมถึงการฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจอเมริกันด้วย
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการกับปัญหา โควิด-19 ซึ่งเคยเป็นผลงานความหวังหลักของประธานาธิบดีไบเดนเพราะเคยได้คะแนนนิยมในเรื่องนี้สูงถึง 65% เมื่อต้นปีนั้น มาขณะนี้คะแนนนิยมที่ประธานาธิบดีไบเดนได้รับในเรื่องนี้จากผลการสำรวจของ Quinnipiac Poll ลดลงมาเหลือเพียง 48%
แต่นอกจากปัญหาหลักๆ เหล่านี้แล้ว การสำรวจของ NBC Poll เมื่อเดือนสิงหาคมยังแสดงว่า 64% ของผู้ออกเสียงเลือกตั้งชาวอเมริกันซึ่งไม่สังกัดพรรคใด หรือที่เรียกว่า independent voters เห็นว่าประธานาธิบดีไบเดนทำงานประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยหรือเพียงบางอย่างเท่านั้น และผู้ออกเสียงกลุ่มสำคัญที่ว่านี้มองว่าประธานาธิบดีไบเดนตั้งเป้าหมายไว้ใหญ่โตมากเกินไปจนไม่สามารถทำให้สำเร็จได้จริง
คะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีไบเดนที่ลดต่ำลงสร้างปัญหาให้กับผู้นำสหรัฐฯ ในความพยายามที่จะผลักดันร่างกฏหมายสำคัญๆ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล เช่น แผนงานปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพที่ต้องใช้เงินราวหนึ่งล้านล้านดอลลาร์รวมทั้งแผนลงทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่คาดว่าจะต้องใช้เงินถึง 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ด้วย และขณะนี้ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับก็ยังไม่ผ่านสภา
อย่างไรก็ตามข่าวที่ค่อนข้างดีสำหรับผู้นำสหรัฐฯ ก็คือ 57% ของกลุ่มผู้ออกเสียงอิสระเหล่านี้ซึ่งช่วยให้ประธานาธิบดีไบเดนชนะการเลือกตั้งต้องการให้สภาผ่านกฎหมายลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่อีก 48% สนับสนุนงบประมาณลงทุนในโครงสร้างทางสังคมและทรัพยากรมนุษย์ที่จะต้องใช้เงินมากถึง 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ด้วย
และเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์โรเบิร์ต คอลลินชี้ว่าประธานาธิบดีไบเดนต้องพยายามต่อรองกับกลุ่มต่างๆ ภายในพรรคเดโมแครตซึ่งมีความเห็นแตกแยกกันเพื่อให้ร่างกฏหมายทั้งสองฉบับสามารถผ่านสภาได้
แต่นอกจากคะแนนนิยมเรื่องผลงานที่ตกต่ำลงแล้ว ประธานาธิบดีไบเดนยังมีปัญหาเกี่ยวความเสื่อมศรัทธาเรื่องความซื่อสัตย์และจริงใจด้วย เพราะขณะนี้ Quinnipiac Poll พบว่าคนอเมริกันราว 50% คิดว่าประธานาธิบดีไบเดนไม่ซื่อสัตย์หรือจริงใจรวมทั้งปิดบังข้อมูลบางอย่างสืบเนื่องจากการที่ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันว่าไม่เคยมีใครที่ให้คำแนะนำแก่ตนให้ชะลอการถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถาน ในขณะที่ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ หลายคนออกมาให้ข้อมูลซึ่งขัดแย้งกับคำกล่าวของประธานาธิบดี
ถึงกระนั้นก็ตามอาจารย์โรเบิร์ต คอลลินจากมหาวิทยาลัย Dillard ก็บอกว่าแม้จะมีแนวโน้มว่าพรรคที่เป็นรัฐบาลซึ่งครองทำเนียบขาวอยู่มักจะเสียคะแนนและเสียที่นั่งในสภาในการเลือกตั้งกลางสมัยซึ่งจะมีขึ้นปลายปีหน้าก็ตาม แต่เรื่องที่สำคัญสำหรับคนอเมริกันก็มักหนีไม่ผลเรื่องเศรษฐกิจและการสร้างงาน โดยความคิดเห็นที่สำคัญอย่างแท้จริงคือความเห็นในเวลาที่คนอเมริกันไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง ดังนั้นจึงยังพอมีเวลาและโอกาสเหลืออยู่สำหรับประธานาธิบดีไบเดนที่จะแก้ไขเรื่องนี้ได้
ที่มา: VOA