นักวิทยาศาสตร์แห่งศูนย์ศึกษาแนวปะการังมหาวิทยาลัย James Cook ในรัฐ Queensland ออสเตรเลีย จัดทำรายงานซึ่งชี้ว่าพื้นที่แนวปะการังขนาดใหญ่ได้ถูกทำลายไปจากปรากฎการณ์ที่เรียกว่า แนวปะการังฟอกขาว ซึ่งเกิดจากกระแสน้ำอุ่นไหลทะลักเข้ามาในเขตมหาสมุทรอินเดียเมื่อเดือนพฤษภาคม
ปรากฎการณ์แนวปะการังฟอกขาวที่ว่านี้เกิดขึ้นจากการที่ปะการังและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นมีสีซีดจางลงเพราะอุณหภูมิน้ำทะเลร้อนขึ้น ความร้อนและความเข้มของแสงส่งผลให้ปะการังต้องลอกสาหร่ายชนิดหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญออก และหากไม่สามารถสร้างสาหร่ายนั้นกลับขึ้นมาใหม่ได้ ปะการังจะตายในที่สุด นักวิจัยระบุว่า ปรากฎการณ์ดังกล่างกำลังทำลายแนวปะการังตั้งแต่อินโดนีเซียไปจนถึงเกาะ Seychelles รวมทั้งแนวปะการังในพม่า มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกาและไทย โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจทำให้สัตว์น้ำและปะการังหลายชนิดสูญพันธุ์ ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมประมงและการท่องเที่ยวของประเทศแถบนี้
คุณ Andrew Baird นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย James Cook กล่าวว่า พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือจังหวัดอะเจะห์ในอินโดนีเซีย ซึ่งแม้ที่นั่นจะมีมาตรการปกป้องคุ้มครองแนวปะการังที่ได้ผลพอสมควร แต่เนื่องจากการคุกคามที่เกิดขึ้นนั้น รุนแรงและกินวงกว้าง จนชาวประมงอะเจะห์ไม่สามารถทำอะไรได้
แนวปะการังคือบ้านของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลหลายสายพันธุ์ รวมกันเป็นระบบนิเวศน์และวงจรอาหารขนาดใหญ่ ปรากฎการณ์แนวปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้แนวปะการังราว 16% ของทั้งหมดทั่วโลกสีจางลงอย่างรุนแรง นักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียเตือนว่าปรากฎการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้อาจเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งที่ผ่านมา และมลภาวะที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์คือสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดการคุกคามนี้ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศโลกซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์จำนวนมากชี้ว่าการที่อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นนั้นเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนอย่างแทบไม่ต้องสงสัย
คณะนักวิจัยสรุปว่ายังคงต้องมีการศึกษาต่อไปว่าแนวปะการังยักษ์ของออสเตรเลีย Great Barrier Reef ได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์แนวปะการังฟอกขาวดังเช่นที่เกิดขึ้นในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง และในทะเลอันดามันด้วยหรือไม่