ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ถูกลักลอบนำตัวเข้าไปในออสเตรเลียนั้นมาจากเอเซียและยุโรปตะวันออกมากกว่าส่วนอื่นๆ โดยพวกเธอมักจะถูกล่อลวงว่าจะพาไปทำงานที่มีค่าจ้างดี แต่ในที่สุดแล้วมักจะถูกนำเข้าสู่ธุรกิจค้าบริการทางเพศ ซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่าธุรกิจที่ว่านี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในออสเตรเลีย
บ่อยครั้งที่เหยื่อของขบวนการลักลอบค้ามนุษย์มักไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ เพราะเกรงกลัวว่าจะถูกส่งตัวกลับประเทศหรืออาจถูกขู่ไว้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะเป็นอันตรายหากนำเรื่องไปเปิดเผย ทำให้ปัญหานี้เลวร้ายยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากการลักลอบค้ามนุษย์เป็นแรงงานทางเพศแล้ว ปัญหาแรงงานทาสก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน
คุณ Fiona David แห่งสถาบันอาชญวิทยาออสเตรเลีย ระบุว่ามีแรงงานชาวต่างชาติถูกลักลอบนำตัวเข้ามาทำงานเป็นคนรับใช้ตามบ้านเรือนของชาวออสเตรเลียโดยไม่ได้รับค่าจ้าง หรือถูกบังคับให้ทำงานก่อสร้างหรือเป็นแรงงานทาสในอุตสาหกรรมต่างๆ
เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานตำรวจกลางออสเตรเลียได้จัดอบรมให้แก่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในเมือง Perth เมือง Alice Springs และเมือง Darwin เพื่อฝึกฝนให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นรู้จักระบุตัวและแยกแยะผู้ที่คาดว่าเป็นเหยื่อและสมาชิกขบวนการลักลอบค้ามนุษย์ โดยยกตัวอย่างว่าแรงงานต่างชาติที่ไม่อยากเปิดเผยสถานะคนเข้าเมืองหรืออ้ำๆอึ้งๆเรื่องที่อยู่หรือที่ทำงาน เข้าข่ายน่าสงสัยว่าอาจเป็นแรงงานที่ถูกบังคับ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียยอมรับว่าการต่อสู้กับขบวนการค้ามนุษย์นั้นเป็นภารกิจที่ยากเอาการ เพราะผู้เคราะห์ร้ายมักกลัวที่จะเปิดปากเล่าถึงสิ่งที่ตนเผชิญ ผู้บัญชาการตำรวจ Chris McDevitt แห่งสำนักงานตำรวจกลางออสเตรเลีย ชี้ว่าผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นอาจถูกทำร้ายร่างกาย หรืออาจติดหนี้ก้อนใหญ่เพื่อแลกกับการเดินทางมาออสเตรเลีย หรืออาจต้องอาศัยพึ่งพาอาหารจากผู้ลักลอบนำตัวพวกตนมา หรือแม้แต่ถูกยึดเอกสารและหนังสือเดินทางเอาไว้ ซึ่งการกระทำต่างๆที่ว่ามานี้ล้วนเข้าข่ายการลักลอบค้ามนุษย์และค้าแรงงานทาสทั้งสิ้น
ขณะนี้ยังไม่มีตัวเลขแน่ชัดว่าเหยื่อของการลักลอบค้ามนุษย์ที่ถูกนำตัวเข้าไปในออสเตรเลียมีจำนวนเท่าใด แต่คาดว่ามีประมาณ 1,000 คนต่อปี ซึ่งรวมถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์และที่ถูกขายโดยเพื่อนหรือญาติพี่น้องของพวกเขาเอง