บรรดาผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการเก็บภาษีก๊าซคาร์บอนซึ่งรวมถึงผู้นำพรรคฝ่ายค้านของออสเตรเลียระบุว่า รัฐบาลออสเตรเลียควรชะลอมาตรการดังกล่าวไว้ก่อนจนกว่าประเทศอื่นจะเริ่มขยับ เพราะการเก็บภาษีกับบริษัทผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้น อาจเป็นการทำลายเศรษฐกิจของออสเตรเลียเอง
ก่อนหน้านี้รัฐบาลออสเตรเลียเพิ่งเสนอแผนเก็บภาษีก๊าซคาร์บอนซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมปีหน้า โดยมีเป้าหมายกดดันให้บริษัทผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่บรรยากาศมากที่สุด 500 อันดับแรกต้องจ่ายภาษีในอัตรา 25 ดอลล่าร์ต่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1 เมตริกตันที่ปล่อยออกมา บรรดาองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมแสดงความชื่นชมต่อแผนดังกล่าว แต่ก็เน้นย้ำว่าควรมีการลงมือทำตั้งแต่บัดนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจออสเตรเลียที่พึ่งพาถ่านหินเป็นหลักนั้น ได้ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลกมากที่สุดประเทศหนึ่ง
คุณ Ben McNeil แห่งศูนย์วิจัยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกแห่งมหาวิทยาลัยรัฐ New South Wales ชี้ว่าปัจจุบันออสเตรเลียยังคงล้าหลังประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศในเรื่องการลดปริมาณก๊าซคาร์บอน คุณ McNeil ยกตัวอย่างประเทศอังกฤษซึ่งเก็บภาษีในลักษณะเดียวกันนี้มา 10 ปีแล้ว และได้กำหนดราคาก๊าซคาร์บอนแตกต่างกันถึง 3 ระดับสำหรับแต่ละภาคเศรษฐกิจ ผู้เชี่ยวชาญผู้นี้ยังบอกด้วยว่าปัจจุบันยุโรปก้าวหน้าไปมากแล้วในเรื่องนี้ ขณะที่ทางสหรัฐก็กำลังพิจารณาใช้มาตรการจัดเก็บภาษีก๊าซคาร์บอนเช่นเดียวกัน
ในสหรัฐนั้น คาดว่ารัฐแคลิฟอร์เนียทางฝั่งตะวันตกจะเริ่มทดลองใช้ระบบซื้อขายแลกเปลี่ยนสิทธิ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ในแถบเอเชีย หลายประเทศกำลังจับตามองการตัดสินใจของออสเตรเลีย โดยญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มีแผนจะใช้ระบบซื้อขายแลกเปลี่ยนสิทธิ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนเช่นกัน ส่วนจีนก็กำลังพิจารณาโครงการนำร่องในบางมณฑล
ปัจจุบันออสเตรเลียคือประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุดในโลกเฉลี่ยตามจำนวนประชากร นายกรัฐมนตรี Julia Gillard ประกาศไว้ว่าจะลดปริมาณมลพิษดังกล่าวลงให้ได้ 160 ล้านตันภายในเวลา 10 ปี หรือเทียบกับจำนวนรถยนต์ที่หายไปจากท้องถนน 45 ล้านคัน และว่าแผนการจัดเก็บภาษีก๊าซคาร์บอนครั้งนี้ถือเป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งซึ่งจะทำให้บริษัทต่างๆต้องเร่งพัฒนาหาแนวทางลดปริมาณก๊าซคาร์บอนลงให้ได้
นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียระบุว่ารัฐบาลมีแผนจะให้เงินชดเชยแก่บริษัทเหล็ก เหมืองถ่านหินและผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้ต่อไป และยังจะมีผลประโยชน์ด้านภาษีอื่นๆสำหรับชาวออสเตรเลียหลายล้านคน ถึงกระนั้นก็ดีบรรดานักวิจารณ์บางคนเกรงว่าบริษัทต่างๆในออสเตรเลียอาจย้ายโรงงานไปยังประเทศอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจโดยรวมของออสเตรเลียเอง