ตัวเลขของเดือนกุมภาพันธ์ ที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาแสดงให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 2.7 เปอร์เซ็นต์ เกือบจะถึง 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราเป้าหมายที่นายกรัฐมนตรีเหวิน เจีย เป้าของจีนกำหนดไว้
นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์การเงินพากันให้ความเห็นว่า เป็นความกดดันเพิ่มมากขึ้นที่จะทำให้จีนต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ และปรับเพิ่มค่าเงินหยวน
จีนดำเนินมาตรการผ่อนคลายผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย และการใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งก็ไม่แตกต่างไปจากมาตรการที่ประเทศอื่นๆ กระทำกัน และได้ผลเพราะเศรษฐกิจจีนก้าวหน้าต่อไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง เฉพาะในปีที่แล้ว ธนาคารในประเทศจีนปล่อยเงินกู้ออกไปถึงหนึ่งล้านสี่แสนล้านดอลล่าร์ นับว่าสูงเป็นประวัติการณ์
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า เมื่อมีการอัดฉีดเงินมากอย่างนั้นในระยะเวลาสั้นๆ เงินเหล่านั้นไม่ได้ถูกใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ แต่ถูกใช้ในการเก็งกำไรทั้งในการเล่นหุ้นและการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ผลก็คือราคาอสังหาริมทรัพย์ตามเมืองใหญ่ๆในประเทศจีนพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
เมื่อประกอบเข้ากับอัตราเงินเฟ้อที่กำลังเขยิบสูงขึ้นอย่างนี้ นักวิเคราะห์กล่าวว่า จีนจะต้องหาทางจำกัดปริมาณเงินในระบบและปรับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้มีความสมดุลมากขึ้น
แม้ธนาคารกลางของจีนจะเพิ่มอัตราเงินสำรองที่ธนาคารจะต้องเก็บไว้ถึงสองครั้งแล้วในปีนี้ แต่คุณ Jing Ulrich หัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัท JP Morgan เชื่อว่า ทางการจีนจะต้องดำเนินมาตรการเข้มแข็งมากกว่านี้
นักธุรกิจการเงินผู้นี้ เชื่อว่ามาตรการขั้นต่อไปที่ทางการจีนจะกระทำ คือการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในช่วงสองปีมานี้
ในอีกด้านหนึ่ง มีเสียงเรียกร้อง โดยเฉพาะจากสหรัฐหลายครั้งแล้วที่อยากจะเห็นทางการจีนปรับเพิ่มค่าเงินหยวน ซึ่งกำหนดไว้ที่ ดอลล่าร์ละ 6.8 หยวนมาเป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว
ค่าเงินอ่อนตัวทำให้สินค้าจากจีนมีราคาถูกในตลาดต่างประเทศ เฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ การส่งออกของจีนเพิ่มขึ้นมากถึง 46% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
นักเศรษฐศาสตร์บางรายให้ความเห็นว่า การปล่อยให้เงินหยวนเพิ่มค่าสูงขึ้น ยังจะช่วยลดภาวะเงินเฟ้อให้กับจีนได้ด้วย เพราะจะทำให้ราคาวัตถุดิบที่จีนนำเข้ามีราคาถูกลง
อาจารย์ Paul Krugman นักเศรษฐศาสตร์ที่เคยได้รับรางวัลโนเบลมาแล้ว บอกไว้ด้วยว่า การปรับเพิ่มค่าเงินหยวนยังจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนแออยู่ได้ด้วย
นักเศรษฐศาสตร์ผู้นี้กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องพูดเรื่องค่าเงินหยวนกันว่า การคงค่าเงินหยวนไว้อย่างที่เป็นอยู่ เป็นการกระทำที่เสมือนกับว่า รัฐบาลจีนกำลังให้เงินอุดหนุนการส่งออกของประเทศในอัตราระหว่าง 25 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ผู้นำจีนยืนกรานว่าจะไม่ทำตามคำเรียกร้องให้ปรับค่าเงินหยวน นายกรัฐมนตรีเหวิน เจีย เป้าของจีน กล่าวเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า ค่าเงินหยวนไม่ต่ำกว่าความเป็นจริง และถ้ารวมอัตราเงินเฟ้อเข้าแล้ว ค่าเงินหยวนกลับเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไป
ทางสหรัฐนั้น ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า กล่าวไว้ในสัปดาห์ที่แล้วว่า ถ้าจีนปล่อยให้กลไกตลาดเป็นตัวกำหนดอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศได้มากขึ้น ก็จะเป็นการให้ความช่วยเหลือต่อความพยายามที่จะลดภาวะการขาดดุลทางการค้าและการเงินของโลกในยุคหลังภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้เป็นอย่างมาก