หลังจากเหตุการณ์ที่นายอูมาร์ ฟารูค อับดุลมูทัลลาบ ชายไนจีเรียวัย 23 ปีซึ่งขึ้นเครื่องบินของสายการบินเดลต้า นอร์ธเวส์ทแอร์ไลน จากเมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย และต่อเครื่องบินที่นครอัมสเตอร์ดัม เที่ยวบินที่ 253 มุ่งหน้าไปยังนครดีทรอยต์ของสหรัฐ พยายามจุดชนวนระเบิดพลาสติค บนเครื่องบินดังกล่าวขณะกำลังจะร่อนลงที่สนามบินนครดีทรอยต์ แต่มีเหตุขัดข้องชนวนระเบิดไม่ทำงานเต็มที่ และถูกผู้โดยสารคนอื่นๆ กับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเข้าสกัด และควบคุมตัวไว้นั้น ในวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม ประธานาธิบดีโอบาม่าได้สั่งให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย พิจารณาทบทวนมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างน้อยสองด้าน โดยด้านหนึ่งคือการดำเนินการกับข้อมูลในบัญชี Watch List ว่าได้มีการดำเนินการอย่างเหมาะสมตามข้อมูลที่มีอยู่หรือที่ได้มาหรือไม่ และอีกด้านคือการทบทวนมาตรการตรวจค้นเพื่อสกัดกั้นวัตถุอันตรายที่ห้ามนำขึ้นเครื่องบิน ซึ่งกระทรวงความมั่นคงภายในของสหรัฐจะต้องตอบคำถามว่าผู้ต้องหาดังกล่าวสามารถนำวัตถุระเบิดติดตัวขึ้นเครื่องบินของสหรัฐได้อย่างไร
รายงานข่าวด้านหนึ่งระบุว่านายอูมาร์ ฟารูค อับดุลมูทัลลาบซุกซ่อนวัตถุระเบิดไว้ในเสื้อผ้าของตน และถึงแม้บิดาของผู้ต้องหาดังกล่าว ซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งในไนจีเรีย จะได้เคยแจ้งต่อสถานฑูตสหรัฐในไนจีเรียเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัยของลูกชายของตนก็ตาม แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงภายในของสหรัฐก็กล่าวว่า ข้อมูลเบาะแสที่ทางการสหรัฐได้มานั้นยังไม่ร้ายแรงพอถึงขั้นที่จะห้ามบุคคลดังกล่าวไม่ให้ขึ้นเครื่องบิน หรือปฏิเสธไม่ยอมให้เดินทางเข้าสหรัฐได้
รับฟังรายละเอียดเพิ่มเติมจากคุณจำเริญ ตัณฑ์สมบุญ
