นายเบ็น เบอร์นางกี้ ประธานของระบบธนาคารกลางอเมริกัน มาแถลงแสดงการพยากรณ์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจอเมริกันในอนาคต ต่อที่ประชุมร่วมของคณะกรรมาธิการของทั้งสองสภาเมื่อวันอังคาร โดยเขากล่าวว่าเศรษฐกิจอเมริกันที่ซวดเซอยู่ขณะนี้ น่าจะพ้นจากภาวะซบเซาในระยะหลังของปีนี้ แต่การฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างช้าๆ และจะมีการสูญเสียตำแหน่งงานต่อไปอีก
ในการมาแถลงแสดงทัศนะต่อที่ประชุมร่วมของคณะกรรมาธิการ ของสภาผู้แทนราษฎรและของวุฒิสภาอเมริกัน นายเบ็น เบอร์นางกี้พยากรณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจซบเซา ซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลาปีครึ่งแล้วกำลังใกล้จะยุติลง เขากล่าวไว้ตอนนี้ว่า "เราคาดหมายว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะซบเซาถึงก้นบึ้ง และกลับฟื้นตัวในระยะหลังของปีนี้ องค์ประกอบสำคัญของคำพยากรณ์นี้ ได้แก่การประเมินสถานการณ์ของเราเกี่ยวกับตลาดการเคหะ ซึ่งกำลังเริ่มทรงตัว อุปสงค์ในขั้นสุดท้ายควรจะมีมาตรการกระตุ้นทางการคลังและการเงินมาช่วยสนับสนุนด้วย "
แต่นายเบ็น เบอร์นางกี้ ประธานของระบบธนาคารกลางอเมริกันเตือนว่าช่วงเวลาอันยุ่งยากมากๆยังรออยู่ข้างหน้า เขากล่าวไว้ตอนนี้ว่า " หลังจากเศรษฐกิจกำลังเริ่มฟื้นตัวแล้วเสียด้วยซ้ำไป อัตราการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงน่าจะยังคงต่ำกว่าอัตราที่อยู่ในวิสัยว่าจะเป็นไปได้ในระยะยาวนั้นต่อไปอีกพักหนึ่ง เราคาดหมายว่า
การฟื้นตัวจะค่อยๆ กระฉับกระเฉงขึ้น และภาวะซบเซาจะค่อยจางหายไปอย่างช้าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาธุรกิจน่าจะยังระมัดระวังในการจ้างลูกจ้าง พนักงาน ซึ่งเป็นการส่อนัยว่าอัตราการว่างงานจะยังสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง แม้แต่ในช่วงหลังจากเศรษฐกิจ เริ่มกลับฟื้นตัวใหม่เสียด้วยซ้ำไป "
นายเบ็น เบอร์นางกี้กล่าวว่าอัตราการว่างงานในสหรัฐ ซึ่งสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปีที่ผ่านมาจะยังคงเขยิบสูงขึ้นต่อไปในช่วงอีกหลายเดือน หลังจากเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวใหม่แล้ว เขาเตือนด้วยว่า การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจจะโดนบ่อนเซาะ ถ้าความก้าวหน้าด้านการฟื้นฟูระบบการธนาคารและการคลังอเมริกันเกิดหยุดชะงัก
คาดว่า ในวันพฤหัสบดี ฝ่ายการควบคุมดูแลการปฏิบัติ ตามกฎระเบียบด้านการเงินจะนำผลของการทดสอบความเครียด เพื่อวัดขีดความสามารถของธนาคารใหญ่ๆ ของอเมริกาว่าจะคงทนต่อผลกระทบในทางลบของภาวะเศรษฐกิจได้ต่อไปอีกนานแค่ไหนนั้นออกเผยแพร่
นายเบ็น เบอร์นางกี้ไม่ยอมเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่อง นั้นก่อนที่จะมีการนำออกเปิดเผย แต่แสดงทัศนวิจารณ์ว่ายังคงมีความวิตกห่วงใยอย่างมาก เกี่ยวกับอุตสาหกรรมภาคการธนาคารอยู่ต่อไป
บรรดานักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า วิกฤติกาลด้านสินเชื่อของโลก ช่วยผลักดันสหรัฐและประเทศส่วนมากในโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจซบเซา ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ถ้าไม่มีภาคการธนาคารที่เข้มแข็ง การหมุนเวียนของสินเชื่อจะยังคงอ่อนแอต่อไป ทำให้ธุรกิจและผู้บริโภคหาทุนมาประกอบกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจได้ยาก
ธนาคารและบริษัทให้บริการทางการเงินหลายสิบแห่งในสหรัฐ ได้รับเงินกู้ฐานะทางเศรษฐกิจจากมาตรการชุดสำหรับการกู้ภาวะเศรษฐกิจวงเงินเจ็ดแสนล้านเหรียญสหรัฐ ที่ทางรัฐสภาอเมริกันอนุมัติไปตั้งแต่เดือน ตุลาคม ปีที่แล้ว
มีการใช้จ่ายเงินส่วนมาก จากกองทุนดังกล่าวไปแล้ว และรัฐบาลชุดประธานาธิบดีโอบามากล่าวว่าไม่มีความโน้มเอียงที่จะขอเงินเพิ่มเติมอีก แต่รัฐบาลอเมริกันกล่าวว่า ธนาคารต่างๆ จะต้องพึ่งแหล่งเงินทุนภาคเอกชนเป็นสำคัญในอนาคต