บริษัทรถยนต์รายใหญ่ทั่วโลก เล็งเห็นรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต ขณะนี้ก็มีผู้ขับขี่เป็นจำนวนมากที่ใช้รถชนิดนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถลูกผสมระหว่างน้ำมันและไฟฟ้า
กลุ่มบริษัทรถยนต์ได้จัดประชุมกันเมื่อเร็วๆ นี้ที่กรุงวอชิงตันโดยเน้นการหารือไปที่ปัญหาด้านนโยบายและเทคนิคต่างๆ ที่เผชิญอยู่
เป็นที่ทราบกันดีว่า รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน และดีเซลในปัจจุบัน เก็บเชื้อเพลิงไว้ในถังที่ทำด้วยโลหะ แต่สำหรับรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า จะเก็บเชื้อเพลิงไว้ในแบตเตอรี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีอุปสรรคสำคัญอยู่
คุณแนนซี จอย์ลาห์ เจ้าหน้าที่ของบริษัทฟอร์ด บอกว่า ส่งที่ท้าทายมากที่สุดก็ยังคงเป็นเรื่องแบตเตอรี เช่น ความทนทานเมื่อนำไปใช้งานจริง ความปลอดภัย และราคาที่สมเหตุผล
บริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็มชักชวนลูกค้าให้มาสนใจรถ “เชวี โวลต์” รถไฟฟ้าแบบเสียบปลั๊กซึ่งจะเปิดตัวในปี 2553 เจ้าหน้าที่ของจีเอ็ม กล่าวว่า ถ้าขายรถรุ่นนี้ได้ปีละประมาณ 2 แสนคัน ก็จะทำให้มียอดการสั่งซื้อแบตเตอรีแบบลิเธียม-อิออนมากที่สุดในโลก
คุณโทนี โพซาวาทซ์ เจ้าหน้าที่ของจีเอ็ม เผยว่า การนำเข้าแบตเตอรีทำให้ราคารถแต่ละคันเพิ่มขึ้นหลายร้อยดอลลาร์ และยังมีประเด็นความมั่นคงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นักวิเคราะห์ชาวอเมริกันบางคน แสดงความวิตกต่อการมีรถยนต์ที่ต้องพึ่งพาแบตเตอรีจากต่างประเทศ พอๆ กับความวิตกต่อการมีรถที่ต้องพึ่งการซื้อน้ำมันจากภายนอก
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมรถไฟฟ้าของสหรัฐฯ กำลังตื่นเต้นกับโอกาสที่รถยนต์นั่งและรถบรรทุกในอนาคตจะสามารถเติมเชื้อเพลิงได้จากที่บ้าน
คุณโทมัส คูน เจ้าหน้าที่ของเอดิสัน อิเลคทริค อินสติติว บอกว่า เราสามารถเดินสายไฟจากในบ้านมาชาร์จไฟให้กับรถที่อยู่ในโรงจอด หรืออาจจะชาร์ทไฟที่ลานจอดรถ ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นคือโครงสร้างพื้นฐานของระบบไฟฟ้า แต่เขาคิดว่าสิ่งนี้จะพัฒนาไปเร็วมากเพราะไฟฟ้ามีอยู่ทุกหนแห่ง แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าความสะดวกสบายอาจทำให้คนเมืองจำนวนมากเลือกจอดรถไว้บนถนนเพื่อชาร์จไฟ มากกว่านำกลับไปชาร์จในโรงจอดรถที่บ้าน
นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมวิตกว่าความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จะทำให้ต้องใช้ถ่านหินในโรงไฟฟ้ามากขึ้นด้วย ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานที่ไม่มีวันหมด เช่น ลมและแสงอาทิตย์ ก็จะมีมากในพื้นที่ที่ไม่มีสายส่งไฟฟ้าที่แข็งแรง เพื่อไปถึงผู้บริโภค ดังนั้น สหรัฐจึงต้องการ “Transmission Superhighway” ซึ่งจะนำไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแหล่งพลังงานที่ไม่มีวันหมดเหล่านี้ ลงสายเพื่อไปยังสถานที่ที่ต้องการ ซึ่งถ้าต้องผลิตไฟฟ้ามากขึ้น ก็ต้องมีความสามารถในการส่งมากขึ้นตามไปด้วย
แม้การเปลี่ยนระบบคมนาคมขนส่งจากที่ใช้พลังงานจากปิโตรเลียมมาเป็นไฟฟ้ายังคงเป็นปัญหาที่ท้าทาย แต่รถไฟฟ้าก็มีอนาคตที่สดใส
ไบรอัน วินน์ ประธานสมาคม Electric Drive Transportation กล่าวว่า มีกระแสยอมรับมากขึ้นว่าการใช้ไฟฟ้าในการขนส่งนั้น มีความสำคัญต่อการลดบริโภคน้ำมัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศจากการนำเข้าน้ำมัน อีกทั้งช่วยสร้างงานที่เกี่ยวกับพลังงานสะอาดในอนาคต