ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะมีความเสี่ยงต่อการหัวใจวาย และโลหิตอุดตันในสมอง แต่การ ศึกษาวิจัยครั้งใหม่ชี้ว่า การลดระดับความดันโลหิต และระดับไขมันในเลือดให้ต่ำกว่าคำ แนะนำที่อยู่ในแนวทางปฏิบัติด้านสุขภาพนั้น จะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้
โรคเบาหวานกำลังอยู่ในขั้นการเป็นโรคระบาดในหลายประเทศทั่วโลก และผู้ที่ป่วยเป็น โรคเบาหวาน มีโอกาสหัวใจวาย หรือเส้นโลหิตอุดตันในสมอง สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ป่วยเป็น โรคนี้ การมีระดับความดันโลหิตสูง และระดับไขมันในเลือดสูง เป็นปัจจัยสำคัญของ ความเสี่ยงที่ว่านี้
คุณบาบาร่า ฮาวเวิร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด แห่งสถาบันวิจัยเม็ดสตาร์ ต้องการที่จะศึกษาดูว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะสามารถลดความเสี่ยงดังกล่าวได้หรือไม่ ถ้ามีระดับความดันโลหิต และไขมันในเลือดต่ำกว่าระดับที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ แนะนำไว้
คุณบาบาร่า ฮาวเวิร์ด กล่าวว่านักวิจัยทราบดีว่า การควบคุมปัจจัยเสี่ยงในการเป็น โรคหัวใจ ของผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ยังไม่ทราบว่าจะสามารถควบคุมได้มากน้อยแค่ไหน
คุณบาบาร่า และนักวิจัยท่านอื่นๆ ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เกือบ 500 คนโดยจะแบ่งผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกได้รับการรักษาแบบมาตรฐานที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือ การตั้งระดับความดันค่าบนสูงสุดที่ 130 และระดับคลอเลส เตอรอล LDL หรือคลอเลสเตอรอลชนิดร้ายสูงสุดที่ 100 ส่วนกลุ่มที่สอง ระดับความดันค่า บนจะถูกตั้งไว้ไม่เกิน 115 และระดับคลอเลสเตอรอล LDL ไม่เกิน 70
คุณบาบาร่า กล่าวต่อไปว่า ความหนาของหลอดเลือดในอาสาสมัครกลุ่มที่สองนั้น ลดลง และเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการก่อตัวของหินปูน ซึ่งยังไม่เคบพบเห็นในการศึกษาฉบับอื่นๆ
นักวิจัยใช้เครื่องอัลตราซาวน์ในการประเมินขนาดของห้องของหัวใจ ที่ทำหน้าที่สูบฉีด โลหิตเป็นหลัก ซึ่งขนาดของห้องที่ว่านี้ลดลงในผู้ป่วยทุกคน แต่จะลดลงมากกว่าในผู้ ป่วยที่สามารถลดระดับความดันโลหิต และระดับไขมันในเลือดลงได้ตามเป้า
คุณบาบาร่า ฮาวเวิร์ด จากสถาบันวิจัยเม็ดสตาร์ กล่าวว่า นักวิจัยสรุปเรื่องดังกล่าว จากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น และว่าถ้าหากผู้ป่วยได้รับการรักษายาวนานขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะแตกต่างกันในการเกิดการหัวใจวาย และเส้นโลหิตอุดตันในสมอง
นักวิจัยกล่าวว่า การศึกษาวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า การที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถ รักษาระดับความดันโลหิต และระดับไขัมนในเลือดให้ได้ตามเป้าหมายนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ
การศึกษาเรื่องนี้ตีพิมพ์อยู่ในวารสารสมาคมการแพทย์อเมริกัน