ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ชาวอเมริกันทำอะไรกันบ้าง ในเทศกลาล Halloween


วันฮาลโลวีน ซึ่งตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม เป็นวันฝรั่งปล่อยผีที่เป็นเทศกาลที่เด็กอเมริกันลุกขึ้นมา แต่งตัวเป็นตัวละครต่างๆ ทั้งตลกทั้งน่าเกลียดน่ากลัวแล้วออกไปเคาะตามประตูเพื่อนบ้าน เพื่อขอขนม พอเจ้าของบ้านมาเปิดประตู เด็กๆก็จะพร้อมใจกันร้องว่า trick or treat!

trick แปลว่าการเล่นแกล้ง และ treat แปลว่าขนม ซึ่งก็หมายความว่าถ้าเจ้าของบ้านไม่ยอมแจก ขนม เด็กๆก็จะเล่นแกล้งด้วยการเอาสบู่ หรือครีมโกนหนวดมาทาหน้าต่างบ้านหรือหน้าต่างรถ หรือเอากระดาษชำระมาแขวนห้อยไว้ตามกิ่งไม้หน้าบ้าน

ในส่วนของเจ้าของบ้านเอง พอใกล้วันฮาลโลวีน แต่ละบ้านก็จะลุกขึ้นมาแต่งบ้านให้ดูน่ากลัว

คุณ Cindy Richardson ชาวบรุ๊คลิน นิวยอร์ค เล่าถึงการตกแต่งบริเวณหน้าบ้านของเธอปีนี้ว่า
ที่หน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง คุณซินดี้เอาใยแมงมุมปลอมย้อมเป็นสีต่างๆ ตลอดจนตามไฟสีส้ม สีม่วงและสีเขียว นอกจากนั้นก็มีฟักทองขนาดใหญ่น้อย ที่ใส่หลอดไฟไว้ข้างในให้เป็นรูปหน้าคน ตลอดจนโครงกระดูก แมงมุม และแม่มด แขวนระโยงระยางจากกิ่งไม้เต็มไปหมด

ส่วนคุณ Sharon Harris ชาวบรุ๊คลินอีกคนหนึ่งบอกว่า เธอลุกขึ้นมาแต่งตัวเป็นตัวละครต่างๆ ทุกวัน ฮาลโลวีน บางปีก็แต่งเป็นแม่วัว บางปีก็เป็นนักเต้นบัลเล่ต์ หรือเป็นนักมวยปล้ำซูโม่

ส่วนหนูซาแมนธ่า หลานคุณแชรอนบอกว่า ปีนี้จะแต่งตัวเป็นโจรสลัด พร้อมผ้าโพกศรีษะและตุ้มหู ส่วนหนูเคทลินหลานอีกคนหนึ่ง จะแต่งเป็นตัวแกเบรียลล่า

วันฮาลโลวีน มีต้นกำเนิดมาจากประเพณีโบราณของชาวเคล์ถ ที่เคยมีถิ่นฐานอยู่ในไอร์แลนด์ อังกฤษและตอนเหนือของฝรั่งเศส เมื่อกว่า 2000 ปีมาแล้ว ตามประวัติเล่าว่า ชาวเคลถ์ถือว่าวันที่ 1 พฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากว่าเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูร้อนและการเก็บเกี่ยวพืชผล และเป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูหนาวที่อากาศมืดมิดและหนาวเย็นและเป็นช่วงแห่งความตาย เพราะฉะนั้น ในวันสิ้นปี คือวันที่ 31 ตุลาคมจึงเป็นช่วงวันต่อระหว่างโลกของชีวิตและโลกแห่งความตาย และเป็นวันที่วิญญาณและภูติผีปีศาจลุกขึ้นมาท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ในโลก เพื่อจะหาร่างของคนเป็นๆ มาเข้าสิง ในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ชาวเคลถ์เลยลุกขึ้นมาจุดกองไฟ และแต่งตัวเป็นรูปร่างน่าเกลียด น่ากลัวต่างๆ เพื่อจะกันไม่ให้ภูติผีปีศาจมาจับตัวไป ต่อมาในช่วงต้นคริสต์กาล ชาวโรมันเข้าครอบ ครองพวกเคลถ์ และนำประเพณีโรมันโบราณ 2 ประเพณีมาผสมผสานเข้ากับประเพณีของชาวเคลถ์คือ ประเพณีวันส่งวิญญาณของผู้เสียชีวิตในแต่ละปี และประเพณีเทพธิดาโพโมน่า ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งต้นไม้และผลไม้ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 7 พระสันตปาปาบอนนิเฟซที่ 4 กำหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นวันรำลึกถึงนักบุญในศาสนาคริสต์ ที่เรียกว่า All Saint's Day หรือ Hallowmas วันที่ 31 ตุลาคมซึ่งเป็นวันสุกดิบก่อนหน้าวัน Hallowmas จึงกลายเป็นวันรำลึกถึงผู้เสียชีวิต ที่เรียกว่า All Hallow's Eve ซึ่งกลายมาเป็นวัน Halloween ชาวไอริชซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวเคลถ์ นำประเพณี การฉลองวันฮาลโลวีนมายังสหรัฐ เมื่อชาวไอริชต้องอพยพหนีความอดอยากเนื่องจากมันฝรั่งขาด แคลนมาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐเมื่อกว่าหนึ่งร้อยหกสิบกว่าปีก่อน

สำหรับคุณ Cindy Richardson เอง ตอนโตขึ้นมาในบรู๊คลิน ก็ได้ยินตำนานวันฮาลโลวีนหลายเรื่อง ด้วยกัน คุณซินดี้บอกว่า ตำนานวันฮาลโลวีนที่ได้ยิน ยกตัวอย่างพอได้ว่า คนขี่ม้าหัวขาด ผีดิบดูด เลือด มนุษย์หมาป่า แฟรงค์เค็นสตายน์ และแม่มด ตลอดจนภูติผีปีศาจทั้งหลาย

XS
SM
MD
LG