ลิ้งค์เชื่อมต่อ

วิกฤตการณ์ด้านระบบการประกันสุขภาพในสหรัฐ


ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า อเมริกามีระบบการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่ทันสมัยที่สุดในโลก ในแต่ละปี ผู้คนหลายพันหลายหมื่นคนทั่วโลกเดินทางมารับการรักษาโรคต่างๆในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม มีผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนที่เห็นว่านโยบายด้านการประกันสุขภาพของอเมริกาสมควรได้รับการปรับปรุงแก้ไข

ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐประกันสุขภาพให้แก่คนอเมริกันราว 27%โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ และสำหรับผู้สูงอายุและคนทุพพลภาพ รัฐบาลก็มีโครงการประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลและค่ายาถึง 80% นอกจากนี้ยังมีโครงการประกันสุขภาพสำหรับประชากรที่ยากจน รวมทั้งโครงการประกันสุขภาพของเด็กที่ครอบครัวมีรายได้ต่ำประมาณ 6 ล้านคน ซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถจ่ายค่าประกันสุขภาพของบริษัทเอกชนได้

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนอเมริกันอีกมากมายที่ต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพทั้งหมดด้วยตัวเอง ซึ่งสำหรับครอบครัวขนาดกลางนั้น ค่าใช้จ่ายดังกล่าวอาจสูงถึงประมาณ 11,000 – 12,000 เหรียญต่อปีเลยทีเดียว และแม้จะจ่ายมากขนาดนั้น ประกันสุขภาพก็ยังไม่ครอบคลุมค่ารักษาและค่ายาทั้งหมดอยู่ดี ปัจจุบันชาวอเมริกันหลายล้านคนต่างประสบปัญหาเวลาที่ต้องจ่ายค่ายาและค่ารักษาพยาบาล

คุณไดแอน โรว์แลนด์ รองประธานฝ่ายบริหารของมูลนิธิเพื่อครอบครัว Kaiser องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มุ่งตรวจสอบนโยบายด้านสุขภาพของสหรัฐบอกว่าอเมริกามีระบบประกันสุขภาพที่ใหญ่โตและมีราคาแพงมาก ซึ่งประชาชนมากมายไม่สามารถเข้าร่วมในระบบประกันสุขภาพดังกล่าวได้

ตามรายงานของสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐระบุว่า ปัจจุบันคนอเมริกันราว 47 ล้านคนไม่มีประกันสุขภาพ ซึ่่งคุณโจเอล โคเฮน ผอ.สำนักวิจัยด้านสังคมและเศรษฐกิจของสำนักงานวิจัยด้านสาธารณสุขสหรัฐบอกว่า สาเหตุที่คนจำนวนมากไม่มีประกันสุขภาพก็เพราะไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันราคาแพงได้ ในขณะที่คนอเมริกันอายุระหว่าง 19-29 ปี ก็มักจะเชื่อว่าตนเองมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยอะไรง่ายๆ จึงไม่สนใจจะจ่ายค่าประกันสุขภาพ นอกจากนี้ คุณโคเฮนยังบอกอีกว่า จำนวนผู้ที่มีประกันสุขภาพยังเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจด้วย

คุณโจเอล โคเฮนระบุว่า คนส่วนใหญ่ได้ประกันสุขภาพจากนายจ้าง ดังนั้นเมื่อมีการว่างงานมากขึ้น ค่าประกันก็จะแพง จำนวนคนที่ไม่มีประกันสุขภาพจึงเพิ่มตามไปด้วย ในขณะเดียวกัน หากเศรษฐกิจเติบโต การจ้างงานสูง ค่าประกันก็ลดลง

คนอเมริกันประมาณ 60% ได้ประกันสุขภาพจากที่ทำงาน ซึ่งโดยทั่วไปมักจะครอบคลุมค่ารักษาและค่ายาเพียงบางส่วน นอกเหนือจากนั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเอง และในขณะที่คนอเมริกันเกือบ 16% ยังไม่มีประกันสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญบางคนเสนอว่ารัฐบาลสหรัฐควรยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วยการจัดให้มีประกันสุขภาพแก่ประชาชนทุกคน

คุณซาร่า คอลลินส์ ผู้ช่วยรองประธานของ Commomwealth Fund สถาบันวิจัยเอกชนที่สนับสนุนการวิจัยด้านสาธารณสุขบอกว่า ขณะนี้อเมริกาคือประเทศอุตสาหกรรมเพียงประเทศเดียวที่ไม่มีระบบประกันสุขภาพซึ่งครอบคลุมถึงประชาชนทุกคน และแม้จะมีค่าใช้จ่ายด้านการประกันสุขภาพมากกว่า แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับด้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เธอเสนอว่าอเมริกาควรมีการปรับปรุงระบบประกันสุขภาพโดยรวม และให้ครอบคลุมถึงประชาชนทุกๆคนดังเช่นที่เป็นอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์บางคนชี้ว่าการให้ประกันสุขภาพแก่ประชนทุกคนไม่ใช่จะดีเสมอไป ยกตัวอย่างที่อังกฤษและแคนาดาที่คนไข้ต้องรอเป็นเวลานานเพื่อจะเข้ารับการรักษา และยังมีแพทย์ให้เลือกไม่มากนักอีกด้วย

คุณสก็อต เซโรต้า ประธานกรรมการบริษัท BlueCross BlueShield บริษัทประกันสุขภาพขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกาบอกว่า เขาเห็นด้วยที่ควรมีการปฏิรูประบบประกันสุขภาพของสหรัฐใหม่ แต่ก็เกรงว่าความเป็นผู้นำด้านการแพทย์และสาธารสุขของอเมริกาจะหายไปด้วย คุณเซโรต้าระบุว่า บริษัทประกันสุขภาพต่างๆยอมสนับสนุนการปฏิรูปในด้านของการให้บริการรักษาโรคและยาต่างๆ รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆด้านการแพทย์ แต่ไม่สนับสนุนการปฏิรูปในลักษณะที่องค์กรรัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงในอุตสาหกรรมการประกันสุขภาพ

ในขณะเดียวกัน จากการสำรวจความคิดเห็นคนอเมริกันพบว่า ประเด็นเรื่องค่าประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้นกำลังกลายเป็นประเด็นสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งที่ส่งผลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า ผู้ลงรับสมัครเลือกตั้งหลายคนต่างเห็นด้วยว่าควรมีการปฏิรูประบบประกันสุขภาพอย่างจริงจัง ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น จำนวนคนอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพจะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

XS
SM
MD
LG