ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ผลกระทบจากการฆาตรกรรมหมู่ ในมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย


ที่เมือง Blacksburg รัฐเวอร์จิเนีย นักศึกษา คณาจารย์ และประชาชนในชุมชนหลายพันคน ตลอดจนผู้นำทางการเมือง และประธานาธิบดีบุช ร่วมพิธีรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ ที่มีผู้เสียชีวิต 33 คนที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เทค เมื่อวันจันทร์

ประธานาธิบดีบุชกล่าวว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เศร้าสลดทั่วทั้งสหรัฐ และขอให้นักศึกษา คณาจารย์ แสวงพลังใจจากครอบครัว และพลังความเชื่อศรัทธาทางศาสนาของตน ผู้นำจากวงการศาสนาต่างๆ ทั้งมุสลิม ยิว และคริสต์ในชุมชนปราศรัยในพิธีรำลึกนี้ด้วย

ตำรวจระบุตัวมือปืนว่าเป็นชาวเกาหลีใต้ชื่อ โจ เซิง ฮุย อายุ 23 ปี เรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกอยู่ปีสุดท้าย มือปืนสังหารตัวเองก่อนที่ตำรวจจะเข้าไปถึงตัวอาคารชั้นเรียนที่เกิดเหตุ ตำรวจยังสอบสวนเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจของการยิงคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากดังกล่าว รายงานสื่อมวลชนระบุว่า นักศึกษาเกาหลีใต้ผู้นี้เป็นคนเงียบๆ ชอบอยู่โดดเดี่ยว ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูง และเขียนบันทึกบรรยายความทุกข์ไว้หลายอย่าง

ตำรวจระบุว่าเขาซื้ออาวุธอย่างถูกต้องตามกฏหมาย และพบปืน 2 กระบอกในที่เกิดเหตุ ทางการเกาหลีใต้แสดงความเศร้าสลดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทราบว่ามือปืนมีเชื้อชาติเกาหลีใต้

เหตุการณ์ที่นักศึกษาจากเกาหลีใต้ที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เทค ในรัฐเวอร์จิเนีย ใช้ปืนยิงเพื่อนนักศึกษาและคณาจารย์ รวมทั้งสังหารชีวิตตนเอง ทำให้เกิดคำถามต่างๆ นับตั้งแต่มูลเหตุจูงใจของมือปืนไปจนถึงการควบคุมเหตุการณ์ร้านจากการใช้อาวุธปืนในอเมริกา

ประธานาธิบดีบุชเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมแสดงความไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายจากการใช้ปืนยิงกระหน่ำที่รุนแรง และมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ

หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปได้ 1 วันก็เริ่มมีข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตัวมือปืนว่าคือนาย โจว เซิง อุย นักศึกษาจากเกาหลีใต้ ซึ่งเพื่อนนักศึกษาบอกว่าเป็นคนที่เก็บเนื้อเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร โดยนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค ตั้งข้อสังเกตว่าเคยเห็นนายโจว เซิง อุย ผู้นี้ในมหาวิทยาลัยเป็นบางครั้ง แต่ไม่เคยเห็นคบหาสมาคมกับใคร

นักศึกษาอีกคนหนึ่งที่เรียนห้องเดียวกับนายโจว เซิง ฮุย บอกว่า นายโจวผู้นี้นอกจากจะเป็นคนเงียบๆ แล้ว ยังมักหลีกเลี่ยงการสบตา และไม่เข้าร่วมการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชั้นเรียนด้วย

แต่ไม่ว่ามือปืนผู้นี้จะเป็นใคร และมีเหตุผลอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ร้ายครั้งนี้ก็ทำให้เกิดคำถามครั้งใหม่ เกี่ยวกับการควบคุมอาวุธปืนในสหรัฐ และแม้กระทั่งนายโทนี่ แมคนัลตี้ รมต.ว่าการกระทรวงมหาดไทยของอังกฤษเอง ที่เคยผ่านการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทคแห่งนี้มาก่อน ก็ให้ความเห็นว่า เรื่องนี้กระตุ้นให้มีการถกเถียงอภิปรายอย่างจริงจังเกี่ยวกับการมีอาวุธปืน และกฏหมายควบคุมอาวุธปืนในสหรัฐ

กลุ่มที่สนับสนุนให้ควบคุมอาวุธปืนให้เข้มงวดมากขึ้นบอกว่า กฏหมายที่เข้มงวดจะชาวยป้องกันเหตุการณ์น่าสลดใจแบบนี้ในอนาคตได้ แต่เดนนิส เอนิกัน จากกลุ่มรณรงค์ให้ควบคุมอาวุธปืนกลุ่มหนึ่งบอกว่า เท่าที่ผ่านมานั้นความพยายามในเรื่องดังกล่าวดูจะถอยหลังเข้าคลอง และถึงเวลาแล้วที่บรรดาผู้นำของสหรัฐควรจะสนใจเสียงเรียกร้องจากประชาชน ให้มีมาตรการที่สมเหตุสมผล เพื่อป้องกันเหตุการณ์ร้ายแบบนี้ ไม่ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง

แต่สมาคมอาวุธปืนของสหรัฐซึ่งสนับสนุนเสรีภาพในการมีอาวุธปืน ออกแสดงคำแถลงทางเวบไซต์ของตน แสดงความเสียใจในเหตุการณ์ครั้งนี้ และว่าจะยังไม่มีความเห็นใดๆ จนกว่าจะทราบข้อมูลทุกอย่างก่อน อย่างไรก็ตาม ที่เวบไซต์ของสมาคมอาวุธปืนของสหรัฐ มีการนำบทสัมภาษณ์คนอเมริกันที่เป็นเจ้าของอาวุธปืน ที่แสดงความเป็นห่วงกังวลว่าจะมีกฏหมายใหม่ๆ ออกมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของตนในการมีปืน

กลุ่มผู้สนับสนุนเสรีภาพของการมีปืนอ้างว่า ถ้าผู้คนมีเสรีภาพของการมีปืนมากขึ้น เจ้าของปืนก็จะสามารถป้องกันตัวเองจากผู้ที่จะมาทำร้ายได้

แต่ สส. ชาล์ส แรงเกิ้ล จากรัฐนิวยอร์ค ซึ่งเป็นผู้หนึ่งซึ่งรณรงค์ให้มีการควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวดมากขึ้น ยอมรับว่าการออกกฏหมายใหม่มาเพื่อจำกัดเสรีภาพของการมีปืนของคนอเมริกันนั้นดูจะเป็นไปได้ยาก และตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ดูจะเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรม และแนวคิดของคนอเมริกันไปแล้ว

กลุ่มผู้สนับสนุนให้ควบคุมอาวุธปืน ให้ตัวเลขว่า เฉพาะปี คศ.2002 เพียงปีเดียว มีผู้เสียชีวิตเนื่องมาจากบาดแผลจากปืนในสหรัฐถึง 30,000 คนและ 40 เปอร์เซนต์ของจำนวนนี้ หรือราว 11,800 คน เป็นการเสียชีวิตเนื่องจากการประทุษร้าย หรือการฆาตรกรรม ส่วนที่เหลืออีกส่วนใหญ่นั้นเป็นการใช้ปืนเพื่อปลิดชีวิตตนเอง

XS
SM
MD
LG