พรรคของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาคร็อง สูญเสียเสียงข้างมากในสภาล่าง การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสรอบสุดท้ายเมื่อวันอาทิตย์ ส่งแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองฝรั่งเศส ตามรายงานของเอพีและรอยเตอร์
ตามการคาดการณ์ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสภานิติบัญญัติของฝรั่งเศส รอบสุดท้าย เมื่อวันอาทิตย์ พบว่า กลุ่มพันธมิตรสายกลางอองซอมเบลอ (Ensemble) ของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาคร็อง จะได้ไป 230-250 ที่นั่ง ซึ่งน้อยกว่าระดับ 289 ที่นั่งเพื่อให้ได้ครองเสียงข้างมากในสภาล่าง
ก่อนหน้านี้ พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายของฝรั่งเศส Socialist Party และพรรคซ้ายจัด LFI (Insoumise Party) ตกลงเป็นพันธมิตรทางการเมืองในการชิงเก้าอี้ในการเลือกตั้ง ส.ส. ฝรั่งเศส ความร่วมมือดังกล่าวยังรวมถึงพรรค Green และพรรค Communist ของฝรั่งเศส เพื่อลดโอกาสที่พรรคของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาคร็องจะได้ครองเสียงข้างมากในสภา และเพื่อสกัดนโยบายของประธานาธิบดีมาคร็องที่เอื้อต่อภาคธุรกิจ หลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งเป็นผู้นำประเทศอีกสมัยเมื่อเดือนเมษายน
ในการเลือกตั้งล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ พันธมิตรใหม่ฝ่ายซ้าย นูเปส (Nupes) คาดว่าจะได้เสียงในสภา 140-160 ที่นั่ง ส่วนพรรคอนุรักษ์นิยมขวาจัด National Rally ของมารีน เลอ เปง คาดว่าจะได้ไปมากกว่า 80 ที่นั่ง
ส่วนการคาดการณ์จาก Ifop, OpinionWay, Elabe และ Ipsos ชี้ว่า กลุ่มพันธมิตรสายกลางอองซอมเบลอของปธน.มาคร็อง จะได้ไป 200-260 ที่นั่ง ขณะที่นูเปส ได้ไป 149-200 ที่นั่ง จากทั้งหมด 577 ที่นั่งในสภาล่าง
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวจะผลักดันให้ฝรั่งเศสเข้าสู่ภาวะ รัฐสภาแขวน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนักในฝรั่งเศส โดยเหตุการณ์ในลักษณะที่พรรคของประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ของฝรั่งเศส ไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาล่างได้นั้น เกิดขึ้นเมื่อปี 1988 และผลการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ออกมานี้ ทำให้เป็นสิ่งที่ยังคาดเดาได้ยากสำหรับทิศทางการเมืองฝรั่งเศสในฉากต่อไป เพราะอาจทำให้ปธน.มาคร็องผลักดันนโยบายต่าง ๆ ได้ลำบากยิ่งขึ้น หรืออาจทำให้ปธน.มาคร็องตัดสินใจจัดการเลือกตั้งใหม่หากประสานความร่วมมือในสภาล่างไม่ได้
ในมุมมองของนักวิเคราะห์ คาดว่า ความล้มเหลวในศึกเลือกตั้ง ส.ส. ฝรั่งเศสครั้งนี้ จะทำให้ปธน.มาคร็องต้องใช้ช่วงเวลาที่เหลือในฐานะประธานาธิบดี ในการผลักดันนโยบายต่าง ๆ ในประเทศ มากกว่านโยบายด้านการต่างประเทศ และอาจหมายถึงจุดสิ้นสุดของปธน.มาคร็องในเวทีโลกด้วยเช่นกัน
- ที่มา: เอพีและรอยเตอร์