การศึกษาครั้งใหม่พบว่า ความชื้นในอากาศก็มีความสำคัญในการชี้วัดสภาวะโลกร้อนด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ความร้อนเท่านั้น
เมื่อความร้อนและความชื้นเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กัน อาจก่อให้เกิดสภาพอากาศแบบสุดโต่งมากขึ้น นักวิจัยกล่าวว่า เมื่อพิจารณาทั้งความชื้นและความร้อนแล้ว อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ถึงสองเท่า
นักวิจัยกล่าวว่า การใช้ปัจจัยด้านอุณหภูมิเพียงอย่างเดียวไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการวัดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่เป็นการประเมินสภาพอากาศในบริเวณเขตร้อนของโลกที่ต่ำเกินไป
นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า พลังงานที่สร้างขึ้นในสภาพอากาศที่รุนแรง เช่น พายุ มีความสัมพันธ์กับปริมาณน้ำในอากาศ ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์จึงตัดสินใจใช้วิธีการวัดบรรยากาศแบบพิเศษ ที่เรียกว่าอุณหภูมิที่มีศักยภาพเทียบเท่าหรือ theta-e
นักวิจัยใช้วิธีการวัดที่ซับซ้อนนี้เพื่อแสดงปริมาณความร้อนในอากาศซึ่งแสดงผลอุณหภูมิที่เรียกว่า องศาเคลวิน
Veerabhadran Ramanathan หนึ่งในผู้เขียนงานวิจัยซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศที่สถาบัน Scripps Institution of Oceanography ของมหาวิทยาลัย University of California วิทยาเขตซานดิเอโก กล่าวว่า สิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสภาพของภูมิอากาศมีอยู่ 2 อย่างคือ อุณหภูมิและความชื้น จนถึงตอนนี้ เราวัดภาวะโลกร้อนในแง่ของอุณหภูมิเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เมื่อเพิ่มการวัดพลังงานจากความชื้นเข้าไป ช่วยให้สามารถพยากรณ์คลื่นความร้อน ปริมาณน้ำฝน และสภาพอากาศสุดโต่งอื่น ๆ ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
Ramanathan กล่าวต่อไปว่า ลมอุ่นสามารถกักเก็บน้ำหรือความชื้นได้มากกว่าอากาศเย็น สำหรับทุก องศาเซลเซียสที่อุณหภูมิของอากาศเพิ่มขึ้นจะสามารถกักเก็บน้ำได้มากขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อไอน้ำในอากาศกลายเป็นของเหลวจะปล่อยความร้อนหรือพลังงานออกมา ซึ่งเป็นสาเหตุของการที่ฝนตก และว่าไอน้ำเป็นก๊าซดักจับความร้อนที่ทรงพลังในบรรยากาศ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเพิ่มมากขึ้น
นักวิจัยกล่าวว่า ระหว่างปี ค.ศ. 1980 ถึง 2019 อุณหภูมิอากาศพื้นผิวโลกโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.79 องศาเซลเซียส แต่เมื่อพิจารณาพลังงานจากความชื้นร่วมด้วย นักวิจัยพบว่าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1.48 องศาเซลเซียส ส่วนในเขตร้อน มีความร้อนเพิ่มขึ้นถึง 4 องศาเซลเซียส
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาที่อุณหภูมิพื้นผิวของอากาศ ดูเหมือนว่าภาวะโลกร้อนจะรุนแรงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือซึ่งอยู่ห่างจากเขตร้อน แต่ความชื้นสูงในเขตร้อนทำให้เกิดการก่อตัวของพายุมากขึ้น ตั้งแต่พายุแบบธรรมดาไปจนถึงพายุที่มีความรุนแรงในมหาสมุทร
Donald Wuebbles นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศที่มหาวิทยาลัย University of Illinois ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษานี้ กล่าวว่า แนวคิดนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเพราะไอน้ำมีความสำคัญต่อการที่ฝนตกหนัก และว่าทั้งความร้อนและความชื้นต่างก็มีความสำคัญทั้งคู่
ทางด้าน Katharine Mach นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัย University of Miami กล่าวว่า ความชื้นเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดผลกระทบของความร้อนที่มีต่อสุขภาพและวิถีชีวิตของมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตด้วย
การศึกษานี้ถูกตีพิมพ์ยู่ในวารสารวิทยาศาสตร์ Proceedings of the National Academy of Sciences ฉบับวันที่ 31 มกราคม
- ที่มา: เอพี