ว่าด้วยที่มาและประเพณีฉลองวันชาติสหรัฐฯ 4 ก.ค.

  • VOA

The 46th annual Macy's 4th of July Fireworks over the East River, July 4, 2022 as seen from the 91st floor of the SUMMIT One Vanderbilt observation in New York.

วันที่ 4 กรกฎาคมของทุกปี คือ วันฉลองวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นวันหยุดสำคัญที่มีกิจกรรมสำคัญ ๆ ที่คนทั่วประเทศจะร่วมฉลองกันมากมาย ตั้งแต่การชมขบวนพาเหรด ไปจนถึง การออกมาตั้งเตาทำอาหารพร้อมการดื่มเบียร์ฉลอง และการร่วมชมดอกไม้ไฟซึ่งมีการจัดขึ้นทั่วประเทศ

และถึงแม้วันหยุดสำคัญนี้ของสหรัฐฯ จะได้ชื่อว่าเป็นวันหยุดอันตรายประจำปี เนื่องจากมักมีรายงานผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากดอกไม้ไฟปีละหลายหมื่นคน กิจกรรมส่องสว่างทั่วฟ้าสหรัฐฯ ยังคงเป็นสิ่งที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของวันประกาศอิสรภาพที่มีการฉลองมาแล้ว 247 ปีอยู่ดี

ต้นกำเนิดของวันประกาศอิสรภาพ

การเริ่มฉลองวันสำคัญนี้เกิดขึ้นครั้งแรก หนึ่งปีหลังจากสมาชิกสภา Second Continental Congress มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1776 เพื่อรับรองคำประกาศอิสรภาพสหรัฐฯ จากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ

This undated engraving shows the scene on July 4, 1776 when the Declaration of Independence, drafted by Thomas Jefferson, Benjamin Franklin, John Adams, Philip Livingston and Roger Sherman, was approved by the Continental Congress in Philadelphia.

แต่การฉลองดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นทั่วประเทศโดยทันที แต่เริ่มมีผู้เข้าร่วมอย่างกว้างขวางมากขึ้นหลังสงคราม ค.ศ. 1812 ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างสหรัฐฯ และอังกฤษ ก่อนจะกลายมาเป็นประเพณีปฏิบัติทั่วสหรัฐฯ

ทำไมดอกไม้ไฟถึงกลายมาเป็นประเพณีสำคัญ 4 ก.ค.

การจุดดอกไม้ไฟฉลองวันประกาศอิสรภาพสหรัฐฯ กลายมาเป็นองค์ประกอบหลักของวันสำคัญนี้ตั้งแต่เริ่มต้นเลย โดยหนึ่งในบิดาผู้ร่วมก่อตั้งประเทศ จอห์น อดัมส์ ระบุในจดหมายลงวันที่ 3 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1776 ที่ส่งให้ อะบิเกล ภรรยาของเขา ว่า การเฉลิมฉลองอิสรภาพของอเมริกานั้น “ควรจะมีการฉลองด้วยความเอิกเกริกและขบวนพาเหรด การแสดงโชว์ เกม กีฬา ปืน ระฆัง กองไฟ และประทีปโคมไฟ จากมุมหนึ่งของทวีปนี้ ไปถึงอีกมุม จากนี้และตลอดไป”

People celebrate the July 4th Independence Day holiday as fireworks explode over the San Diego County Fair, in Del Mar, California, U.S. July 4, 2022.

ทั้งนี้ นักประวัติศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่า จีนโบราณคือผู้ที่คิดค้นดอกไม้ไฟขึ้นมาตั้งแต่ 2 ศตวรรษก่อนคริสต์กาล ก่อนสิ่งประดิษฐ์นี้จะกลายมาเป็นส่วนสำคัญของงานเทศกาลทางศาสนาและกิจกรรมบันเทิงในที่สาธารณะในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในยุโรปและในหมู่ผู้ที่มาตั้งรกรากในสหรัฐฯ ตามข้อมูลจากสมาคมดอกไม้ไฟอเมริกัน (American Pyrotechnics Association)

เคยมีปธน.คนใดปฏิเสธไม่ร่วมฉลองหรือไม่

นับตั้งแต่สมัยของประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน จนถึงประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ทุกคนเข้าร่วมการฉลองวันสำคัญนี้กันตลอด ยกเว้น ประธานาธิบดีจอห์น อดัมส์ ผู้นำคนที่สองของสหรัฐฯ ซึ่งปฏิเสธที่จะฉลองการประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ ในวันที่ 4 กรกฎาคม เพราะตนเชื่อว่า วันที่สหรัฐฯ เป็นอิสรภาพจริง ๆ คือ วันที่ 2 กรกฎาคม เพราะวันนี้ในปี ค.ศ. 1776 คือวันที่สภา Continental Congress มีมติเห็นชอบให้มีการประกาศอิสรภาพ เพียงแต่ว่า ในวันนั้น ยังไม่มีการรับรองคำประกาศอิสรภาพอย่างเป็นทางการนั่นเอง

Founding father John Adams, second president of the United States, married to his third cousin, Abigail, and they had six children.

คนอเมริกันนิยมการฉลองด้วยดอกไม้ไฟแค่ไหน

การจำหน่ายดอกไม้ไฟในสหรัฐฯ นั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยสถิติจากสมาคมดอกไม้ไฟอเมริกันระบุว่า ในปี ค.ศ. 2000 ผู้บริโภคชาวอเมริกันใช้เงินถึง 407 ล้านดอลลาร์เพื่อหาซื้อดอกไม้ไฟ ก่อนที่ตัวเลขนั้นจะพุ่งขึ้นเป็นราว 2,300 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2022 โดยการปรับขึ้นรุนแรงที่สุดนั้นเกิดขึ้นในเป็นช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ทางการประกาศยกเลิกกิจกรรมจุดดอกไม้ไฟ แต่ผู้บริโภคก็ยังควักเงินซื้อกันอย่างหนักจนตัวเลขพุ่งจากระดับ 1,000 ล้านดอลลาร์เป็น 1,900 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2020

ทั้งนี้ สมาคมดอกไม้ไฟอเมริกันประเมินว่า ตัวเลขยอดขายดอกไม้ไฟในปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นอีก 100 ล้านดอลลาร์

ดอกไม้ไฟอันตรายหรือไม่

แม้จะมีความพยายามให้ความรู้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละปี ยังมีประชาชนชาวอเมริกันได้รับบาดเจ็บจากดอกไม้ไฟถึงหลายพันคน

Tishane McFarlane, of Connecticut, puts some firework shells into his cart while shopping at Area 51 Fireworks in Chesterfield, New Hampshire, June 30, 2023.

คณะกรรมาธิการความปลอดภัยสินค้าผู้บริโภคสหรัฐฯ (U.S. Consumer Product Safety Commission) รายงานว่า ในปี ค.ศ. 2022 มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากดอกไม้ไฟและต้องเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทั่วประเทศถึง 10,200 คน โดยมีประชาชน 11 คนเสียชีวิตจากกิจกรรมนี้ โดย 3 ใน 4 ของตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บนั้นเกิดขึ้นในช่วงวันหยุด 4 กรกฎาคม

ข้อมูลระบุว่า ราว 1 ใน 3 ของการบาดเจ็บจากดอกไม้ไฟในสหรัฐฯ นั้นเกิดขึ้นที่บริเวณศีรษะ หู หรือตา และยังมีกรณีที่เกิดกับนิ้ว มือ และขาด้วย

นอกจากนั้น เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ยังมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของผู้ได้รับบาดเจ็บจากดอกไม้ไฟด้วย ขณะที่ ประกายไฟคือสาเหตุหลักของการได้รับบาดเจ็บของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ

  • ที่มา: วีโอเอ