ประเด็นด้านสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์เป็นหนึ่งในวาระสำคัญที่อยู่ในการพิจารณาของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงปลายปีนี้ ล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าวแล้ว
อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน กล่าวในวันจันทร์ว่าสิทธิการทำแท้งของชาวอเมริกันควรจะยกให้แต่ละรัฐเป็นฝ่ายตัดสินใจ ซึ่งสอดรับกับการตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ในการเพิกถอนสิทธิตามรัฐธรรมนูญอเมริกันว่าด้วยการทำแท้ง และคัดค้านข้อเรียกร้องในการห้ามทำแท้งให้มีผลทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักเคลื่อนไหวที่ต่อต้านการทำแท้งในอเมริกาไปพร้อมกัน
ทรัมป์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้สนับสนุนสิทธิการทำแท้งก่อนจะกลายเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองระดับประเทศเมื่อปี 2015 แต่หลังจากก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ เขาเสนอชื่อแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงแนวคิดอนุรักษ์นิยมถึง 3 คนระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งต่อมาได้มีบทบาทในการคว่ำคำตัดสินเรื่องสิทธิการทำแท้งที่เป็นตัวบทกฎหมายในรัฐธรรมนูญมานานเกือบ 50 ปี
อดีตผู้นำสหรัฐฯ รายนี้ยังลังเลที่จะออกมาแสดงจุดยืนในประเด็นร้อนนี้ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมาถึงในเดือนพฤศจิกายนนี้ ในระหว่างที่โจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต เดินหน้าสนับสนุนสิทธิการทำแท้ง และกล่าวหาทรัมป์เรื่องคำตัดสินของศาลสูงที่คว่ำกฎหมายสิทธิทำแท้ง
ทรัมป์ อ้างว่าตนสามารถเจรจาข้อตกลงเรื่องการทำแท้งที่จะ “ทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้” อาจเป็นการห้ามกระบวนการทำแท้งหลังจากตั้งครรภ์ได้ 15 หรือ 16 สัปดาห์ โดยผลสำรวจความเห็นชี้ว่า ชาวอเมริกันโดยทั่วไปสนับสนุนสิทธิการทำแท้ง แต่มักไม่เห็นด้วยในรายละเอียดของข้อจำกัดต่าง ๆ
อดีตปธน.ทรัมป์ กล่าวผ่านวิดีโอทางสื่อสังคมออนไลน์ ทรูธ โซเชียล ว่าแต่ละรัฐของอเมริกา ที่ผ่านการดำเนินการทางกฎหมายหรือการลงประชามติในแต่ละรัฐ ควรเป็นฝ่ายตัดสินใจ และว่า “ไม่ว่าพวกเขาจะตัดสินใจอย่างไรก็ควรเป็นตัวบทกฎหมายของแต่ละพื้นที่ และในกรณีนี้คือกฎหมายระดับรัฐ”
แต่ทรัมป์ได้เสริมว่าเขา “เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อข้อยกเว้นในกรณีการข่มขืน การมีเพศสัมพันธ์กับคนในครอบครัวเดียวกัน และกรณีที่อันตรายถึงแก่ชีวิตของแม่ผู้ตั้งครรภ์” ซึ่งถือเป็นจุดยืนที่ไม่ถูกใจผู้ต่อต้านการทำแท้ง แต่ฝ่ายอื่น ๆ สนับสนุน
ทรัมป์บอกอีกว่า “หลายรัฐมีความแตกต่างกันไป หลายรัฐจะมีจำนวนสัปดาห์การตั้งครรภ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หรือบางรัฐจะมี[มาตรการ]ที่เป็นแนวทางอนุรักษ์นิยมมากกว่ารัฐอื่น และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาเป็น .. แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันขึ้นอยู่กับเจตจำนงของประชาชน นั่นคือจุดยืนที่เราเป็นในตอนนี้ และนั่นคือสิ่งที่เราต้องการ คือเจตจำนงของประชาชน”
อดีตผู้นำสหรัฐฯ กล่าวด้วยว่าตนสนับสนุนการเข้าถึงการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) สำหรับ “คู่รักที่พยายามจะมีลูกอันเป็นที่รัก เพราะสิ่งใดจะงดงามหรือดีกว่านั้นได้”
ปัจจุบัน มี 14 รัฐในอเมริกาที่ห้ามการทำแท้ง และอีก 2 รัฐห้ามการทำแท้งหลังจากตั้งครรภ์ได้ 6 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเงื่อนเวลาที่เกิดขึ้นก่อนที่ผู้หญิงโดยทั่วไปจะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ในทางกลับกัน ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในหลายรัฐ รวมทั้งรัฐที่มีผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันอยู่มาก ต่างตัดสินใจที่จะลงประชามติเพื่อประมวลกฎหมายการทำแท้งในระดับรัฐแล้ว
ท่าทีของทรัมป์เผชิญกับเสียงวิจารณ์จากหนึ่งในแกนนำต่อต้านการทำแท้งในสหรัฐฯ ซึ่งพยายามเรียกร้องให้ทรัมป์สั่งห้ามทำแท้งทั่วประเทศ เมื่อมีอายุครรภ์ถึง 15 สัปดาห์
มาร์จอรี แดนเนนเฟลเซอร์ ประธานจาก Susan B. Anthony Pro-Life America กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านการทำแท้งในสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ย้ำจุดยืนของกลุ่มที่จะ “เอาชนะประธานาธิบดีไบเดน” และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต พร้อมทั้งยังตำหนิการตัดสินใจของทรัมป์อีกด้วยว่า “เราผิดหวังอย่างมากต่อจุดยืนของประธานาธิบดีทรัมป์ .. การพูดถึงประเด็นนี้ว่า ‘ให้กลับไปที่การตัดสินใจของแต่ละรัฐ’ ได้ยอมให้ฝั่งเดโมแครตผลักดันกฎหมายให้การทำแท้งสามารถเกิดขึ้นได้ตลอด 9 เดือนที่ตั้งครรภ์”
นับตั้งแต่การคว่ำคำตัดสินในสิทธิการทำแท้ง คดี Roe v. Wade ที่มีมาตั้งแต่ปี 1973 โดยศาลสูงสหรัฐฯ เมื่อไม่นานนี้ ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตที่มุ่งเน้นหาเสียงเรื่องประเด็นสิทธิการทำแท้งและการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงจากฝั่งอนุรักษ์นิยม 3 คนของทรัมป์ ต่างคว้าชัยในการเลือกตั้งหลายต่อหลายครั้ง
ทางประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกโรงตอบโต้คลิปวิดีโอแถลงการณ์ของทรัมป์เมื่อวันจันทร์ว่า “ทรัมป์กำลังดิ้นรน เขากังวลว่าต้องรับผิดชอบในการคว่ำกฎหมาย Roe v. Wade ที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะให้เขารับผิดชอบในการเลือกตั้งปี 2024 นี้ เอาล่ะ ผมมีข่าวจะบอกโดนัลด์ว่า พวกเขาจะทำมันแน่ ๆ ”
หลังการคว่ำกฎหมาย Roe v. Wade ของศาลสูงสหรัฐฯ จำนวนการทำแท้งในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 1,026,700 เมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี อ้างอิงจาก Guttmacher Institute องค์กรวิจัยที่สนับสนุนการเข้าถึงการทำแท้ง
ที่น่าสนใจ คือ ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่ในรัฐที่สั่งห้ามการทำแท้ง และผู้หญิงจำนวนมากเดินทางไปยังรัฐใกล้เคียงที่การทำแท้งยังคงถูกต้องตามกฎหมายหรือเข้าไปรับยากระตุ้นเพื่อยุติการตั้งครรภ์ โดยนักวิจัยพบว่าการเข้ารับยายุติการตั้งครรภ์คิดเป็นสัดส่วน 63% ของการทำแท้งในสหรัฐฯ แล้วในตอนนี้
ที่ต้องจับตากันต่อจากนี้ คือ ทางศาลสูงสหรัฐฯ ได้รับฟังข้อโต้แย้งถึงประเด็นทางกฎหมายและการเข้าถึงยาไมเฟพริสโตน (Mifepristone) เพื่อยุติการตั้งครรภ์ โดยคาดว่าศาลสูงสหรัฐฯ จะมีคำตัดสินในเรื่องนี้ออกมาในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้
- ที่มา: วีโอเอ