งานวิจัยชี้ 'โควิดระยะยาว' ทำให้เซ็กส์เสื่อม-'หมากฝรั่ง' ช่วยลดโอมิครอน

FILE PHOTO: Illustration shows test tubes labelled "COVID-19 Omicron variant test positive\

สำนักข่าว เอพี รวบรวมผลการศึกษาหลายชิ้นเกี่ยวกับโควิด-19 ที่นักวิจัยเพิ่งสรุปออกมาเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งมีทั้งผลงานการศึกษาที่น่าเชื่อถือได้และน่าจะนำไปสู่การค้นคว้าเพิ่มเติม รวมทั้ง รายงานที่ยังรอการประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญรายอื่นก่อนจะมีการตีพิมพ์ดังนี้

การทดลองใช้หมากฝรั่งเพื่อลดอนุภาคโอมิครอนในน้ำลาย

ข้อมูลการศึกษาชิ้นหนึ่งระบุว่า มีการใช้หมากฝรั่งเพื่อทดลองการ "ดักจับ" อนุภาคของเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-ทู ในน้ำลายและได้ผลออกมาเป็นที่น่าจะเป็นความหวังสำหรับการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โดยนักวิจัยกำลังเตรียมทำการทดลองนี้กับมนุษย์เป็นครั้งแรกอยู่

รายงานของนักวิจัยในวารสาร Biomaterials ระบุว่า หมากฝรั่งดังกล่าวประกอบไปด้วยสารที่ลอกเลียนมาจากโปรตีน ACE2 (เอซทู) ที่พบบนพื้นผิวของเซลล์ ซึ่งโคโรนาไวรัสใช้เจาะเข้าไปในเซลล์และทำการแพร่เชื้อ โดยในการทดลองในห้องปฏิบัติการนั้น นักวิจัยได้ใช้ตัวอย่างน้ำลายจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าหรือโอมิครอนมาทำการทดสอบ และพบว่า อนุภาคของไวรัสเกาะติดอยู่กับตัวรับโปรตีน ACE2 ในหมากฝรั่ง ซึ่งส่งผลให้ปริมาณเชื้อไวรัสลดลงจนถึงระดับที่ไม่สามารถตรวจพบได้

chewing gum

รายงานดังกล่าวเปิดเผยว่า ในการทดลองกับมนุษย์นั้น ผู้ป่วยโควิด-19 แต่ละคนจะเคี้ยวหมากฝรั่ง ACE2 ที่ทำมาจากเซลล์ผักกาดหอมวันละสี่เม็ดเพื่อ “ดักจับไวรัส”เป็นเวลาสี่วัน ส่วนในการทดลองครั้งที่ 2 นั้น นักวิจัยจะใช้หมากฝรั่งที่ทำมาจากผงถั่วแทนเซลล์ผักกาดหอม ซึ่งผลการทดลองในห้องปฏิบัติการนั้นพบว่า ไม่เพียงจะดักจับอนุภาคซาร์ส-โควี-ทู ได้ แต่ยังรวมถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่าง ๆ โคโรนาไวรัสชนิดอื่น ๆ ที่ทำให้เป็นไข้หวัด และไวรัสในช่องปากอื่น ๆ เช่น ฮิวแมน แพพพิลโลมาไวรัส (เอชพีวี) และไวรัสเริม ด้วย

นายแพทย์ เฮนรี แดเนียล (Henry Daniell) หัวหน้าทีมวิจัยจากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย University of Pennsylvania กล่าวว่า “เนื่องจากการแพร่เชื้อทางจมูกนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับการติดต่อทางปาก ดังนั้น การเคี้ยวหมากฝรั่ง ACE2 และการกลืนโปรตีน ACE2 น่าจะช่วยลดการติดเชื้อ ปกป้องผู้ป่วยโควิด-19 และป้องกันการแพร่เชื้อได้

อาการโควิดระยะยาว (ลองโควิด) มีอาทิ ภาวะบกพร่องทางเพศสัมพันธ์และผมร่วง

นักวิจัยอังกฤษเตือนว่า ภาวะผมร่วงและการสูญเสียความรู้สึกทางเพศล้วนเป็นอาการที่เกี่ยวเนื่องมาจากอาการโควิดระยะยาวได้ด้วย

ในการศึกษาด้านนี้ นักวิจัยทำการเปรียบเทียบผู้ป่วยเกือบครึ่งล้านคนที่หายจากการติดเชื้อซาร์ส-โควี-ทู ก่อนกลางเดือนเมษายน ปี 2021 โดยที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล กับผู้ที่ไม่ติดเชื้อในวัย เพศ และสถานะสุขภาพใกล้เคียงกันเกือบ 2 ล้านคน และพบว่า โดยรวมแล้ว อาการโควิดระยะยาว 62 อาการมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการติดเชื้อซาร์ส-โควี-ทู หลังจากที่ผ่านไป 12 สัปดาห์ ตามข้อมูลที่เผยแพร่อยู่ในวารสาร Nature Medicine ที่ได้รับการตีพิมพ์ออกมาเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม

couple in bed

ทั้งนี้ อาการโควิดระยะยาวที่พบบ่อย ๆ ได้แก่ อาการหอบ การได้กลิ่นผิดเพี้ยน อาการเจ็บหน้าอกและมีไข้ นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่า ปัญหาด้านความจำ การไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือใช้คำสั่งที่คุ้นเคย ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ อาการประสาทหลอน และแขนขาบวม เกิดขึ้นกับผู้ที่ประสบภาวะลองโควิดด้วย

และเมื่อทำการเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ติดเชื้อแล้ว กลุ่มที่ติดเชื้อนั้นมีแนวโน้มที่จะประสบภาวะผมร่วงมากกว่าอีกกลุ่มถึงสี่เท่า และมีโอกาสที่จะประสบปัญหาการหลั่งยาก หรือมีความต้องการทางเพศที่ลดลงมากกว่าอีกกลุ่มถึงสองเท่าด้วย โดยนักวิจัยพบว่า โอกาสที่จะเกิดภาวะโควิดระยะยาวนั้นมีสูงมากใน กลุ่มคนหนุ่มสาว ผู้หญิง และชนกลุ่มน้อย

อุปกรณ์ PCR ที่ตรวจหาเชื้อเร็วขึ้นสำหรับใช้ในพื้นที่ท้องถิ่น

นักวิจัยเปิดเผยว่า ในเวลานี้ กำลังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับการตรวจหาเชื้อซาร์ส-โควี-ทู ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักเพียง 0.9 กิโลกรัม และแสดงผลได้ภายใน 23 นาที แทนที่จะเป็น 24 ชั่วโมงเหมือนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

การตรวจหาเชื้อแบบ PCR หรือ Polymerase Chain Reaction นั้น เป็นระบบการตรวจที่มักไม่ค่อยใช้กันตามคลินิกแพทย์หรือร้านขายยา เนื่องจากอุปกรณ์แบบดั้งเดิมมีขนาดใหญ่และมีราคาแพง และต้องใช้เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมมาแล้ว แต่ต้นแบบอุปกรณ์ตรวจหาเชื้อชนิดใหม่นี้มีขนาดเล็กลง และใช้วิธีการใหม่ที่เรียกว่า plasmonic thermocycling ซึ่งจะสามารถตรวจจับ RNA ของเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-ทู ได้อย่างรวดเร็วจากตัวอย่างน้ำลายและจากจมูกของมนุษย์ด้วยความไวต่อเชื้อ 100% และความจำเพาะถึง 100% ทั้งยังตรวจจับไวรัสกลายพันธ์ได้ถึง 2 สายพันธุ์ด้วย ตามรายงานของนักวิจัยในวารสาร Nature Nanotechnology ที่เพิ่งได้รับการตีพิมพ์เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเช่นกัน

  • ที่มา: รอยเตอร์