ไบเดน เตรียมนำทีมร่วมถกประเด็นความมั่นคงทางไซเบอร์กับภาคเอกชน

U.S. President Joe Biden delivers remarks on the economy at the White House in Washington, July 19, 2021.

Your browser doesn’t support HTML5

Business News


ประธานาธิบดี โจ ไบเดน พร้อมนำทีมงานด้านความมั่นคงแห่งชาติเข้าร่วมประชุมกับตัวแทนภาคธุรกิจในเดือนหน้า เพื่อหารือประเด็นเกี่ยวกับความมั่นคงทางไซเบอร์ ตามรายงานของสำนักข่าว เอพี

รายงานข่าวที่อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่เปิดเผยรายละเอียดเรื่องนี้ออกมาในวันพุธตามเวลาท้องถิ่น ระบุว่า ทำเนียบขาวเสนอจัดการประชุมดังกล่าวในวันที่ 25 สิงหาคม ขณะที่ทีมงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังทำงานอย่างเร่งด่วนเพื่อช่วยบริษัทต่างๆ ให้ทำการปกป้องตนเองจากการถูกโจมตีโดยโปรแกรมมัลแวร์เรียกค่าไถ่ หรือ Ransomware จากองค์กรอาชญากรรมในรัสเซีย ในช่วงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตระหนักว่า เริ่มมีภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่รุกคืบเข้ามาจากฝั่งรัฐบาลจีนอยู่ด้วย

โฆษกของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ รายหนึ่ง บอกกับผู้สื่อข่าวว่า การประชุมที่จะจัดขึ้นนี้มีเป้าหมายที่จะหารือว่า ทุกฝ่ายจะร่วมมือกันอย่างไรเพื่อปรับปรุงความมั่นคงทางไซเบอร์ของประเทศ โดยไม่ได้เปิดเผยว่า ผู้นำธุรกิจรายใดจะเข้าร่วมประชุมบ้าง

รายงานข่าวระบุว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้เริ่มทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมการป้องกันและความยืดหยุ่นของความมั่นคงทางไซเบอร์ให้ดียิ่งขึ้นแล้ว โดยมีการเปิดตัวโครงการปรับปรุงพัฒนามาตรฐานที่เกี่ยวข้องสำหรับภาคธุรกิจที่มีความสำคัญ เช่น การผลิตไฟฟ้า รวมทั้งร่วมกับบริษัทไมโครซอฟท์ในด้านนี้ หลังระบบของบริษัทแห่งนี้ถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์เมื่อต้นปีที่ส่งผลกระทบต่อระบบคอมพิวเตอร์นับหมื่นแห่งทั่วโลก

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ปธน.ไบเดน ได้หารือทางโทรศัพท์ กับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน และขอให้ผู้นำรัฐบาลเครมลินลงมือจัดการปราบปรามกระบวนการโจมตีด้วย Ransomware จากรัสเซียให้มากขึ้น

ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์จากจีน โดยเมื่อวันจันทร์ รัฐบาลกรุงวอชิงตันเพิ่งออกปากอย่างเป็นทางการว่า แฮกเกอร์สัญชาติจีนคือผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีระบบอีเมล์ไมโครซอฟท์เอ็กซ์เชนจ์ (Microsoft Exchange) และกล่าวหารัฐบาลกรุงปักกิ่งว่าทำการว่าจ้างอาชญกรที่เป็นแฮกเกอร์ในการดำเนินการโจมตีสหรัฐฯ เพื่อผลประโยชน์ทางการเงินของตน

(ที่มา: สำนักข่าว เอพี)