ผู้แทนจากสหรัฐฯ และอิสราเอล เดินทางไปยังบาห์เรนในอาทิตย์ เพื่อเจรจาปรับความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างอิสราเอลกับบาห์เรน รวมทั้งขยายความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ กับกลุ่มประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซียเพื่อต่อต้านอิหร่าน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สตีเว่น มนูชิน และที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของอิสราเอล เมียร์ เบน-แชบบัท เดินทางด้วยเครื่องบินของสายการบิน เอล อัล อิสราเอล ออกจากสนามบิน เบน กูเรียน ที่นครเทลอาวีฟ อิสราเอล ในวันอาทิตย์ เพื่อมุ่งหน้าไปยังบาห์เรน
บาห์เรนคือประเทศที่สองในตะวันออกกลางต่อจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับปกติกับอิสราเอล ซึ่งสร้างความขุ่นเคืองให้กับปาเลสไตน์ที่กำลังพยายามสร้างความยอมรับในสถานะความเป็นประเทศ
อิสราเอล บาห์เรน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ร่วมลงนามใน "ปฏิญญาแห่งสันติภาพ ความร่วมมือ ความสัมพันธ์ทางการทูตและความเป็นมิตรที่เข้มแข็ง" หรือ “Abraham Accord” ในพิธีที่จัดขึ้นที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 15 กันยายน โดยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพ ท่ามกลางความไม่พอใจของชาวบาห์เรนจำนวนมาก
ภายใต้ข้อตกลงที่ทั้ง 3 ประเทศร่วมลงนามนี้ นายกรัฐมนตรี เนทันยาฮู จะระงับแผนผนวกเวสต์แบงก์ไว้ก่อน ซึ่งผู้สังเกตการณ์ติงไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่เริ่มดีขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทำให้กลุ่มประเทศอาหรับเริ่มใกล้ชิดกับอิสราเอลมากขึ้น ขณะที่ปาเลสไตน์จะถูกกีดกันออกไปด้วย
ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีปาเลสไตน์ โมฮัมเหม็ด ชตาเยห์ ทวีตข้อความประณามการลงนามข้อตกลงดังกล่าว โดยระบุว่า ความตกลงล่าสุดนี้เป็น “วันที่มืดดำในประวัติศาสตร์ชาติอาหรับ”
ทั้งนี้ รัฐบาลของประธานาธิบดี ทรัมป์ เฝ้าประกาศย้ำว่า ข้อตกลงการปรับความสัมพันธ์ระหว่าง 3 ประเทศนี้คือ ชัยชนะของนโยบายต่างประเทศชิ้นสำคัญ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ขณะที่ อดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้ลงสมัครชิงชัยตำแหน่งผู้นำประเทศจากพรรคเดโมแครต กล่าวว่า ตนสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ ปรับระดับความสัมพันธ์กับอิสราเอลให้เป็นปกติ และเชื่อว่า “อิสราเอลต้องเตรียมตัวทำงานเพื่อหาทางแก้นโยบาย 2 รัฐ” กับปาเลสไตน์ได้แล้ว
