กองทัพสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มเพดานโบนัสเป็น 50,000 ดอลลาร์ สำหรับผู้ที่สมัครเข้ารับใช้ชาติที่มีทักษะสูงและตกลงเข้าประจำการเป็นเวลา 6 ปี หลังภาวะระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้การรับกำลังพลเข้าใหม่ในส่วนงานบางกลุ่มประสบปัญหาหนัก
พลตรี เควิน เวรีน ผู้ดูแลกองบัญชาการการสรรหากองทัพสหรัฐฯ บอกกับสำนักข่าว เอพี ว่า การที่โรงเรียนต้องปิดชั้นเรียนและตลาดแรงงานทักษะสูงต้องระส่ำในช่วงปีที่ผ่านมา กลายมาเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับกองทัพ และเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจรุนแรงขึ้นจากนี้ ทางกองทัพสหรัฐฯ จึงตัดสินใจเพิ่มงบโบนัสให้กับผู้ที่สมัครเข้ามารับใช้ชาติ
รายงานข่าวระบุว่า การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้การเข้าไปเปิดรับสมัครทหารใหม่ตามโรงเรียนหรืองานกิจกรรมสาธารณะต่างๆ เป็นไปได้ยาก ขณะที่ การแข่งขันเพื่อแย่งชิงแรงงานทักษะสูงก็รุนแรงขึ้นเพราะคนรุ่นใหม่มีทางเลือกมากขึ้น
ทั้งนี้ เป้าหมายการรับสมัครคนประจำปีของกองทัพสหรัฐฯ นั้นเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ในแต่ละปี โดยในปัจจุบัน นโยบายระบุว่า ผู้ที่รับใช้ชาติอยู่แล้วสามารถตัดสินใจว่า จะอยู่ต่อหรือขอปลดประจำการได้
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งมีการระบาดของโคโรนาไวรัสเป็นวงกว้าง ทหารจำนวนมากตัดสินใจที่จะรับราชการต่อไป ทำให้กองทัพไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรับสมัครใหม่มาก
พลตรี เวรีน เปิดเผยว่า ในปีนี้ ตัวเลขเป้าการรับสมัครนั้นจะอยู่ที่ราว 57,500 คน ซึ่งเท่าๆ กับปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม นโยบายมอบโบนัสสูงสุด 50,000 ดอลลาร์ ซึ่งปรับขึ้นมาจากเพดานล่าสุดที่ 40,000 ดอลลาร์ สำหรับผู้ที่ตกลงจะรับใช้ชาติถึง 6 ปี ในส่วนงานที่กำลังเป็นที่ต้องการสูงนั้น มาพร้อมกับมาตรการการรับสมัครที่เข้มข้น จนทำให้ประเมินกันว่า อาจมีผู้ที่มีคุณสมบัติถึงไม่กี่คน
จ่าสิบโท แมรี เจมส์ ซึ่งอยู่กับกองทัพสหรัฐฯ มา 15 ปีและทำหน้าที่ในหน่วยสรรหากำลังพลในรัฐโอไฮโอ ตั้งแต่เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2020 กล่าวว่า แม้เงินจะไม่ใช่เป็นสิ่งแรกที่ผู้มาสมัครพูดถึงเสมอ แต่ก็เป็นปัจจัยที่หลายคนพิจารณา
ในส่วนของงบโบนัสที่กองทัพสหรัฐฯ ได้รับการจัดสรรนั้น พลตรี เวรีน เปิดเผยว่า ยังไม่มีการกำหนดแน่นอนในปีนี้ แต่ยอมรับว่า ตัวเลขนั้นหดลงทุกปี ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2018 ที่มีงบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 485 ล้านดอลลาร์ แต่กองทัพกลับไม่สามารถรับสมัครนายทหารได้ตามเป้า โดยในปีงบประมาณที่แล้วซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 30 กันยายนนั้น กองทัพสหรัฐฯ ใช้งบนี้ไปกว่า 233 ล้านดอลลาร์
