การสำรวจครั้งล่าสุดในไต้หวันพบว่า กว่า 20% ของประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีกำลังอยู่ในภาวะไม่มีเงินออมและราว 65% ระบุว่า ตนมีปัญหาหนี้สินติดตัว ซึ่งล้วนชี้ให้เห็นถึง ปัญหาช่องว่างความร่ำรวยระหว่างคนต่างรุ่นในไต้หวันนั้นกำลังถ่างห่างขึ้นทุกที
ผลสำรวจดังกล่าวที่จัดทำโดยเว็บไซต์ yes123 ยังแสดงให้เห็นว่า มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่กล่าวว่า รายได้ของตนสูงกว่ารายจ่าย ขณะที่ ผู้ร่วมทำการสำรวจที่เหลือยอมรับว่า รายได้นั้นของตนนั้นถ้าไม่พอดีก็ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
เมื่อสอบถามถึงสาเหตุของภาระหนี้สินทั้งหลาย เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า มีที่มาจากค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือไม่ก็ปัญหาหนี้เงินกู้ หนี้บัตรเดรดิต และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะส่วนตัว
รอย เหงิง นักเคลื่อนไหวจากกรุงไทเป ผู้สนับสนุนนโยบายค่าจ้างที่เป็นธรรม และมีผลงานเป็นบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจของไต้หวันในสื่อท้องถิ่นมากมาย กล่าวว่า การสำรวจครั้งนี้สะท้อนภาพผลกระทบระยะยาวของการที่อัตราค่าจ้างในไต้หวันทรงตัวอยู่นาน 2 ทศวรรษ
ข้อมูลสถิติของรัฐบาลไทเป เปิดเผยว่า รายได้ที่แท้จริง หรือ มูลค่าของรายได้หลังการคิดคำนวณรวมกับอัตราเงินเฟ้อแล้วของไต้หวัน ชะลอตัวลงเมื่อราวปี ค.ศ. 2002 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไต้หวันกำลังข้ามผ่านการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ และหลังจากนั้น รายได้ที่แท้จริงก็นิ่งสนิทมานานจนถึงปี ค.ศ. 2019 ก่อนจะมีการปรับฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง
เหงิง บอกกับ วีโอเอ ว่า ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็จะกล่าวได้ว่า สำหรับคนในไต้หวันที่เวลานี้มีอายุมากกว่า 40 ปีนั้น เมื่อ 2 ทศวรรษก่อน คนเหล่านั้นอยู่ในช่วงที่รายได้อยู่ในขาขึ้น และก็ปรับขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้เปลี่ยนงาน ขณะที่ สำหรับคนที่อายุน้อยกว่านั้น ทุกคนเข้าสู่ตลาดแรงงานตอนที่ค่าแรงในไต้หวันเริ่มนิ่ง และโอกาสในการขึ้นค่าแรงก็ไม่ค่อยมี จนในเวลานี้ จึงเกิดช่องว่างด้านรายได้ขนาดใหญ่ระหว่างคนจากทั้งสองรุ่นไปโดยปริยาย
ปัญหารายได้น้อยนั้นไม่ใช่ประเด็นเดียวที่คนรุ่นใหม่ของไต้หวันประสบอยู่ เพราะต้นทุนที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงทำให้หลายคนไม่สามารถหาซื้อที่อยู่อาศัยของตนเองได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะพบว่า คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยไม่มีเงินเก็บพอ และเลือกที่จะอาศัยอยู่กับครอบครัวแม้หลังเรียนจบเพื่อที่จะได้มีโอกาสเก็บเงินไว้ซื้อบ้านในภายหลัง
ปัจจุบัน ราคาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงไทเปนั้นสูงลิบลิ่ว จนแม้แต่คอนโดขนาดเล็กๆ ในเมืองหลวงของไต้หวันยังมีราคาสูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว ขณะที่ ราคาที่อยู่อาศัยในพื้นที่เมืองใหญ่ๆ อื่นๆ ก็กำลังพุ่งตามขึ้นมาติดๆ โดยผลสำรวจของนิตยสาร Commonwealth ที่เชี่ยวชาญด้านรายงานเชิงสืบสวนระบุว่า ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ 6 เมืองของไต้หวัน ซึ่งรวมถึงไทเปด้วย เพิ่มขึ้นกว่า 30% ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2019 และ 2021 โดยสาเหตุสำคัญของการปรับขึ้นนั้นมักเป็นเรื่องของการเก็งกำไรของนักลงทุน ควบคู่กับความจริงที่ว่า รัฐบาลไม่ได้มีโครงการเคหะชุมชนมาช่วยประชาชนเท่าใดเลย
ข้อมูลจากการสำรวจของ yes123 ระบุด้วยว่า นักศึกษาที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมานั้นทำรายได้เฉลี่ยที่ราว 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งไม่ได้ต่างจากค่าเฉลี่ยที่ 975 ดอลลาร์ต่อเดือนที่กระทรวงแรงงานไต้หวันบันทึกได้ในปี ค.ศ. 2000 เลย
นอกจากนั้น เงินเดือนขั้นต่ำที่ 913 ดอลลาร์ของไต้หวันยังถือว่า เป็นตัวเลขที่ต่ำมากๆ เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย จนทำให้รัฐบาลไทเปต้องออกมาสั่งปรับขึ้นรายได้ขั้นต่ำ 5.21% เมื่อปีที่แล้ว โดยอัตราการปรับขึ้นนี้เป็นตัวเลขสูงที่สุดที่ไต้หวันบันทึกได้ในรอบ 15 ปี แต่หลายคนชี้ว่า คงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่าไต้หวันจะทำให้ช่องว่างด้านรายได้ของประชาชนลดลงอย่างเห็นได้ชัด
นิค มาร์โร นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญพื้นที่จีน ไต้หวัน และมาเก๊า จาก Economist Intelligence Unit ให้ความเห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไต้หวันทำให้คนรุ่นใหม่ตัดสินใจเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศกันมากขึ้น แม้ว่า ในความเป็นจริงแล้ว พื้นฐานเศรษฐกิจของไต้หวันจะอยู่ในระดับที่ดีมาก แต่ผู้ประกอบการยังยึดติดกับความคิดบางอย่าง จนลังเลเกินกว่าจะปรับขึ้นค่าจ้าง