ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ต่างออกมาตรการลงโทษรัสเซียหลังบุกรุกยูเครน โดยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ระบุเมื่อวันเสาร์ว่า มาตรการลงโทษเหล่านี้ “เทียบเท่ากับการประกาศสงคราม แต่ขอบคุณพระเจ้าที่มันยังไปไม่ถึงจุดนั้น”
รอยเตอร์รวบรวมตัวอย่างมาตรการลงโทษ ปธน. ปูติน บุคคลใกล้ชิด และภาคส่วนที่สำคัญของเศรษฐกิจรัสเซีย
ปธน. ปูตินและเจ้าหน้าที่รัฐ
สหรัฐฯ สหภาพยุโรป (อียู) อังกฤษ และแคนาดา ระงับการดำเนินการทางทรัพย์สินของ ปธน. ปูตินและนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย สหรัฐฯ ยังสั่งห้ามบุคคลทั้งสองเดินทางเข้าประเทศ แต่อียูไม่มีคำสั่งดังกล่าวเพื่อเปิดโอกาสในการเจรจาในอนาคต
อียูยังออกมาตรการลงโทษนายดมิทรี กริโกเรงโก รองนายกรัฐมนตรี, นายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย และเจ้าหน้าที่รัฐคนอื่นๆ
ขณะนี้ ปธน. ปูติน เป็นหนึ่งในสามผู้นำประเทศที่ถูกอียูขึ้นบัญชีดำ โดยผู้นำอีกสองคนได้แก่ ปธน. บาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย และ ปธน. อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ของเบลารุส
มหาเศรษฐีรัสเซียที่มีความใกล้ชิดกับ ปธน.ปูติน
สหรัฐฯ อียู และอังกฤษ ขึ้นบัญชีดำนักธุรกิจรัสเซีย เช่น อลิเชอร์ อุสมานอฟ เจ้าพ่อวงการเหล็กและเทคโนโลยี, อิกอร์ เซชิน ประธานบริหารของรอสเนฟท์ (Rosneft) บริษัทผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย และนิโคไล ทอคาเรฟ ซีอีโอบริษัทผลิตน้ำมัน ทรานส์เนฟท์ (Transneft)
อียูออกมาตรการลงโทษนักธุรกิจรัสเซีย เช่น มิคาอิล ฟริดแมน ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอัลฟา กรุ๊ป (Alfa Group) ซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารอัลฟา-แบงค์ (Alfa-Bank) ธนาคารเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย, เพทร์ อเวน หุ้นส่วนธุรกิจของฟริดแมน และเอล็กเซย์ มอร์ดาชอฟ บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในรัสเซียและเจ้าของบริษัทซีเวอร์สตาล (Severstal) บริษัทผลิตเหล็กขนาดใหญ่
เมื่อวันจันทร์ อังกฤษเสนอร่างกฎหมายเพื่อให้รัฐมนตรีออกมาตรการที่พุ่งเป้าไปยังธุรกิจและเศรษฐีชาวรัสเซียขึ้นได้
รัฐบาลอิตาลีเปิดเผยเมื่อวันเสาร์ว่า ตำรวจยึดบ้านพักตากอากาศและเรือยอชท์มูลค่า 156 ล้านดอลลาร์จากบุคคลระดับสูงของรัสเซียห้าคน
แคนาดาระบุว่า กำลังทบทวนหุ้นทั้งหมดที่บุคคลระดับสูงและบริษัทรัสเซียถืออยู่ ในขณะที่ออสเตรเลียออกมาตรการลงโทษต่อชนชั้นสูงและสมาชิกสภารัสเซีย
ธนาคารกลางและระบบการเงินรัสเซีย
สหรัฐฯ อียู อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น แคนาดา และประเทศอื่นๆ สั่งห้ามทำธุรกรรมกับธนาคารกลาง กระทรวงการคลัง และกองทุนบริหารสินทรัพย์แห่งรัฐของรัสเซีย และสั่งระงับการดำเนินการทางทรัพย์สินในต่างประเทศของทั้งสามหน่วยงาน
ธนาคารรัสเซีย
ธนาคารรัสเซียเจ็ดแห่ง ได้แก่ VTB, แบงค์ ออตร์คิที (Bank Otkrkitie), โนวิคอมแบงค์ (Novikombank), พรอมสวยาแบงค์ (Promsvyabank), แบงค์ รอสซิยา (Bank Rossiya), ซอฟคอมแบงค์ (Sovcombank) และ VEB ถูกขับออกจากระบบชำระเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก หรือระบบ SWIFT
สเบอร์แบงก์ (Sberbank) ซึ่งเป็นธนาคารให้กู้รายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย และก๊าซพรอมแบงค์ (Gazprombank) ยังไม่ถูกขับออกจากระบบ SWIFT เนื่องจากทั้งสองธนาคารเป็นช่องทางหลักที่ประเทศต่างๆ เช่น ประเทศในกลุ่มอียู ยังคงใช้ชำระค่าน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย เมื่อวันพุธ สเบอร์แบงก์ระบุว่า ทางธนาคารถอนตัวออกมาจากธนาคารยุโรปเกือบทั้งหมด
บริษัทผู้ให้บริการการชำระเงิน เช่น วีซ่า (Visa), มาสเตอร์การ์ด (Mastercard) , อเมริกัน เอ็กซ์เพรส (American Express) และเพย์พาล (PayPal) ต่างตัดธนาคารรัสเซียออกจากเครือข่ายของตน
ท่อส่งก๊าซนอร์ด สตรีม 2
ท่อส่งก๊าซนอร์ด สตรีม 2 เป็นท่อส่งก๊าซจากรัสเซียถึงเยอรมนีที่เพิ่งสร้างเสร็จ และรอการอนุมัติจากอียูและเยอรมนี อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเยอรมนีระงับการอนุมัติดังกล่าวหลังรัสเซียบุกรุกยูเครน
เมื่อวันพฤหัสบดี หน่วยงานที่ดูแลท่อก๊าซดังกล่าวในเยอรมนีระบุว่า ท่อก๊าซนี้อาจทำงานไม่ได้อีกต่อไปหลังรัฐบาลเยอรมนีระงับการอนุมัติ ทางด้านสหรัฐฯ ก็ออกมาตรการลงโทษบริษัทนอร์ด สตรีม 2 เอจี (Nord Stream 2 AG) ที่ก่อสร้างท่อก๊าซดังกล่าว
สายการบินรัสเซีย
อียู สหรัฐฯ แคนาดา และอังกฤษ สั่งห้ามอากาศยานของรัสเซียบินขึ้น ลงจอด หรือบินผ่านน่านฟ้าของตน
อียูยังสั่งห้ามส่งออก จำหน่าย จัดหา หรือโอนถ่ายอากาศยาน ชิ้นส่วนอากาศยานและอุปกรณ์ทั้งหมดไปยังรัสเซีย
ภาคพลังงาน การทหาร และเทคโนโลยี
สหรัฐฯ และอียูออกมาตราการลงโทษภาคพลังงานและการทหารของรัสเซียแล้ว เช่น ก๊าซพรอม (Gazprom) บริษัทก๊าซของรัฐบาล, บริษัทผลิตน้ำมันในเครือก๊าซพรอม ก๊าซพรอมเนฟท์ (Gazpromneft) และบริษัทพลังงาน ลุคออยล์ (Lukoil), รอสเนฟท์ (Rosneft) และเซอร์กัสเนฟเทก๊าซ (Surgutneftegaz) ต่างเผชิญกับมาตรการจำกัดการนำเข้าส่งออก และการเพิ่มหนี้สิน
สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกที่จะกระทบการเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคม อุปกรณ์ความปลอดภัยของข้อมูล เลเซอร์ และเครื่องส่งสัญญาณที่จำเป็นต่อการรักษาศักยภาพทางการทหารของรัสเซีย
มาตรการในลักษณะนี้เคยถูกนำมาใช้ในช่วงสงครามเย็นมาแล้ว ทำให้สหภาพโซเวียตในขณะนั้นมีเทคโนโลยีล้าหลังและถูกชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจ
อียูยกระดับมาตรการลงโทษต่อสินค้ารัสเซีย ทั้งสินค้าสำหรับประชาชนทั่วไปและสินค้าสำหรับกองทัพ พุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมกองทัพของรัสเซียและเบลารุส และจำกัดทั้งสองประเทศจากการเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น โดรน ซอฟท์แวร์สำหรับโดรน ซอฟท์แวร์สำหรับอุปกรณ์เข้ารหัส เซมิคอนดักเตอร์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าชั้นสูง
ประเทศอื่นๆ เช่นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ ออกมาตรการจำกัดการส่งออกต่อรัสเซียในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน
- ที่มา: รอยเตอร์
