ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ไมโครซอฟท์ ทุ่ม 70,000 ล้านดอลลาร์ ซื้อบริษัทเกมส์ 'แอคติวิชัน บลิซซาร์ด'


FILE - Gamers play Call of Duty: Black Ops 4 at a community reveal event in Hawthorne, California, May 17, 2018.
FILE - Gamers play Call of Duty: Black Ops 4 at a community reveal event in Hawthorne, California, May 17, 2018.
Business News
please wait

No media source currently available

0:00 0:05:56 0:00


บริษัทคอมพิวเตอร์ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ทุ่มเงิน 70,000 ล้านดอลลาร์ ซื้อกิจการบริษัทเกมรายใหญ่ แอคติวิชัน บลิซซาร์ด (Activision Blizzard) ผู้สร้างเกม Candy Crush และ Call of Duty อันโด่งดัง เป้าหมายเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในตลาดเกมออนไลน์ และเทคโนโลยีความจริงเสมือน หรือ Virtual Reality (VR)

หากข้อเสนอซื้อกิจการครั้งนี้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ก็อาจกลายเป็นการควบรวมบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากที่บริษัทคอมพิวเตอร์ เดลล์ (Dell) เคยซื้อกิจการของบริษัทจัดเก็บข้อมูล EMC ด้วยวงเงิน 60,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปี ค.ศ. 2016

ทั้งนี้ แอคติวิชัน บลิซซาร์ด เปิดเผยเมื่อปีที่แล้วว่า กำลังถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ จากข้อกล่าวหาว่ามีการประพฤติมิชอบและการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน

โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว รัฐแคลิฟอร์เนียได้ฟ้องร้องบริษัทเกมแห่งนี้ว่า เป็นแหล่งบ่มเพาะวัฒนธรรมแบบ "ชายล้วน" ที่นำไปสู่การก่อกวนรังควานและเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างสตรี

ภายใต้ข้อตกลงนี้ บ็อบบี้ โกทิค ซีอีโอของแอคติวิชัน บลิซซาร์ด จะยังคงนั่งในตำแหน่งเดิมต่อไป โดยจะมุ่งเน้นที่การขยายตลาดวิดีโอเกมและรักษาจุดแข็งของบริษัทเอาไว้

หลังข่าวการควบรวมกิจการครั้งนี้ ราคาหุ้นของแอคติวิชัน บลิซซาร์ด พุ่งขึ้นทันที 27% ในช่วงเปิดตลาดวันอังคาร ขณะที่ราคาหุ้นของไมโครซอฟต์ปรับตัวลดลงเกือบ 1%

เมื่อปีที่แล้ว ไมโครซอฟต์เพิ่งลงทุน 7,500 ล้านดอลลาร์ ซื้อกิจการของเซนิแมกซ์ มีเดีย (ZeniMax Media) เจ้าของบริษัทเบเดสดา ซอฟต์เวิร์คส (Bethesda Softworks) ผู้สร้างวิดีโอเกมชื่อดังอย่างเช่น The Elder Scrolls, Doom และ Fallout ซึ่งไมโครซอฟต์เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นยอดสมัครสมาชิก Xbox Game Pass ของทางบริษัทได้

ข้อตกลงมูลค่าราว 69,000 ล้านดอลลาร์ครั้งนี้จะทำให้ไมโครซอฟท์กลายผู้ผลิตวิดีโอเกมรายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลกเมื่อพิจารณาด้านรายได้จากทั่วโลก รองจากบริษัทโซนี (Sony) และบริษัทเทนเซนต์ (Tencent) รวมทั้งช่วยสร้างโลกแห่งเทคโนโลยีเพื่อแข่งกับ Metaverse ของบริษัทเมตา (Meta) หรือเฟสบุ๊คเดิม ได้อีกด้วย

  • ที่มา: เอพี
XS
SM
MD
LG