ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ตรวจสอบข่าว: คำสั่งระดมพลของปูติน ไม่ได้เป็นไปตามสัญญา


Anti-mobilization rally in Makhachkala, Dagestan. (North Caucasus Service/RFE/RL)
Anti-mobilization rally in Makhachkala, Dagestan. (North Caucasus Service/RFE/RL)
วลาดิเมียร์ ปูติน

วลาดิเมียร์ ปูติน

ประธานาธิบดี

“ผมขอย้ำ เรากำลังพูดอย่างเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการระดมพลบางส่วน ซึ่งก็คือ พลเมืองที่ปัจจุบันอยู่ในกลุ่มพลสำรองที่มีสิทธิ์ถูกเกณฑ์ และสำคัญที่สุด คือ ทุกคนที่เคยรับราชการในกองทัพ”

เท็จ

คำสั่งล่าสุดของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ที่ให้ “ทำการระดมพลบางส่วน” นั้นมีการดำเนินการในความเป็นจริงที่แตกต่างจากเนื้อคำสั่งดั้งเดิมอย่างมาก เพราะกองตรวจงานของรัสเซียที่รับหน้าที่ดังกล่าวกลับทำการเกณฑ์ชายชาวรัสเซียที่ไม่มีประสบการณ์ทางทหารมาก่อนเลย จนทำให้เกิดการประท้วงแผนงานดังกล่าวขึ้นทั่วประเทศไปแล้ว

การประกาศระดมพลของปธน.ปูติน ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่กองทัพรัสเซียกำลังประสบความปราชัยในการรบกับกองกำลังยูเครน โดยผู้นำเครมลินกล่าวว่า แผนงานนี้มุ่งเน้นไปที่กำลังพลสำรองและผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ที่เคยทำงานกับกองทัพมาก่อน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทำเนียบเครมลินต้องเร่งออกมาให้ความกระจ่าง ว่า ใครคือผู้ที่จะถูกเรียกตัวมาเข้าร่วมรบ ในช่วงที่ชาวรัสเซียจำนวนนับหมื่นที่คิดว่าจะโดนเกณฑ์ทหารพยายามหนีออกประเทศกันอยู่

ในคำสั่งที่มีออกมาเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ปธน.ปูติน ระบุว่า:

“ผมขอย้ำ เรากำลังพูดอย่างเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการระดมพลบางส่วน ซึ่งก็คือ พลเมืองที่ปัจจุบันอยู่ในกลุ่มพลสำรองที่มีสิทธิ์ถูกเกณฑ์ และสำคัญที่สุด คือ ทุกคนที่เคยรับราชการในกองทัพ มีความเชี่ยวชาญพิเศษทางทหารในแบบใดแบบหนึ่งรวมทั้งประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องด้วย”

ซึ่งเรื่องนี้ เป็นความเท็จ

รายงานจากรัสเซียหลายชิ้นแสดงให้เห็นภาพความสับสนโกลาหล ภาวะตื่นตระหนกและอารมณ์โกรธ ขณะที่ กองตรวจงานของรัสเซียและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตกอยู่ในสภาพวุ่นวายในการเกณฑ์คนให้ถึงเป้าตามที่มอสโกสั่ง

สื่ออิสระ Mediazona ของรัสเซีย รายงานว่า:

“ในบรรดา [ผู้ที่ถูกเกณฑ์] คือ ผู้ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ทหาร รวมทั้ง ศัลยแพทย์ วิสัญญีแพทย์ และศัลยแพทย์การบาดเจ็บ ซึ่งจบการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ของพลเรือน ขณะที่ แพทย์จากทั่วประเทศเริ่มได้รับหมายเรียกจากสำนักงานสัสดีกันแล้ว”

มีอายุรแพทย์มะเร็งวิทยารายหนึ่ง กล่าวว่า:

“ถ้าพวกเขาติดต่อผมมา แน่นอน ผมจะแพ็คของและไป(ตามหมายเรียก” เพราะผมสามารถช่วยเพื่อนร่วมชาติได้ ผมจะได้ช่วยชีวิตผู้คน คำปฏิญาณที่ว่า “จะไม่ทำร้ายผู้ป่วย” (do no harm) ที่ได้รับการสั่งสอนมาในวิทยาลัยแพทย์ก็จะได้ใช้งานจริง (แต่) หากผมต้องยิงใครสักคน หรือศัตรู ผมไม่แน่ใจว่าจะทำได้ ผมไม่ต้องการเสียสละหลักการของผมเพื่อเหตุสยองเช่นนี้ได้”

รายงานข่าวชี้ว่า มีชายคนหนึ่งจุดไฟเผาตัวเองเพื่อเป็นการปฏิเสธไม่เข้าร่วมการสู้รบ และมีอีกรายที่รายงานระบุว่า ยิงผู้บัญชาการกองทัพนายหนึ่งบาดเจ็บ ที่กองตรวจงานของกองทัพแห่งหนึ่ง และมีกองตรวจฯ หลายสิบแห่งทั่วประเทศที่ถูกจุดไฟเผาเพื่อเป็นการประท้วงการระดมพลครั้งนี้

แต่หน่วยงานอิสระที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังด้านสิทธิ์ของรัสเซียที่ชื่อ OVD.info รายงานว่า ณ วันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา ตำรวจปราบปรามจลาจลได้คุมขังผู้ประท้วง 2,366 ราย จากเหตุการชุมนุมต่อต้านการระดมกำลังพลที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ

หนังสือพิมพ์ The Washington Post รายงานเมื่อวันที่ 23 กันยายนว่า ทางการรัสเซียได้พุ่งเป้าการเกณฑ์กำลังพลที่ชนกลุ่มน้อยและผู้ประท้วงมากกว่าพลเมืองส่วนอื่น ๆ โดยในพื้นที่คาบสมุทรไครเมียที่รัสเซียยึดครองอยู่นั้น ชนกลุ่มน้อย ทาทาร์ ในไครเมีย คิดเป็น 90% ของผู้ที่ถูกเกณฑ์ ตามรายงานของกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิ์ CrimeaSOS

สำหรับเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ดูแลไครเมียซึ่งเป็นคนของรัสเซียเรียกว่าเป็น รายงาน ‘ปลอม’ และอ้างว่า การเกณฑ์ทหารนั้น “คิดเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมต่อส่วนแบ่งประชากรที่เป็นชนกลุ่มน้อยในพื้นที่คาบสมุทรนี้"

อย่างไรก็ดี การชุมนุมประท้วงเรื่องนี้ยกระดับความรุนแรงขึ้นในพื้นที่สาธารณรัฐดาเกนสถาน (Dagestan) ซึ่งเป็นเขตปกครองหนึ่งของรัสเซียในเขตสหพันธ์คอเคซัสเหนือ (North Caucasus) ที่ซึ่งผู้ประท้วงสตรีปะทะกับตำรวจและทำการปิดกั้นถนนเพื่อไม่ให้ขบวนทหารเกณฑ์ที่มีสมาชิกในครอบครัวของตนเดินทางออกจากเมืองหรือหมู่บ้านของตนไป

หนังสือพิมพ์ Chernovik ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นของมาฮัชคาลา (Makhachkala) เมืองหลวงของสาธารณรัฐแห่งนี้ เผยแพร่คลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นภาพขณะที่ตำรวจทุบตีผู้ประท้วง และยิงกระสุนจริงขึ้นเหนือฝูงชนด้วย

ส่วนผู้ประท้วงในสาธารณรัฐคาบาร์ดีโน-บัลคาเรีย (Kabardino-Balkaria) เป็นอีกกลุ่มที่ปะทะกับเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 26 กันยายน โดยผู้ชุมนุมกล่าวว่า “ลูก ๆ” (ของตน) ไม่ได้เคยรับการอบรมหรือเข้ารับราชการทหารมาก่อนที่จะถูกเกณฑ์

นอกจากนั้น ยังมีคลิปวิดีโอของการประท้วงในเมืองนัลชิก (Nalchik) ที่มีผู้โพสต์ขึ้นทางเฟซบุ๊กและแสดงให้เห็นภาพของผู้ประท้วงสตรีหลายคนคัดค้านการเกณฑ์บุตรหลานของตนไปร่วมรบในยูเครน เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้มีประสบการณ์ในกองทัพ หรือแม้กระทั่งการจับปืนขึ้นยิงมาก่อนเลย

หนังสือพิมพ์ Novaya Gazeta-Europe ซึ่งเป็นสื่ออิสระอีกแห่งของรัสเซีย อ้างข้อมูลจากหน่วยงาน Federal Security Service (FSB) รายงานว่า มีชายชาวรัสเซียกว่า 261,000 คนได้เดินทางออกจากประเทศไปแล้วนับตั้งแต่วันที่ปธน.ปูติน ประกาศสั่งระดมพล

สมาชิกในรัฐบาลรัสเซียบางรายแนะนำให้มีการออกคำสั่งปิดพรมแดนเพื่อป้องกันการไหลออกของชายชาวรัสเซียแล้ว แต่ ดมิทรี เพสคอฟ โฆษกของปธน.ปูติน กล่าวว่า ยังไม่มีการพิจารณาที่จะดำเนินการทำเช่นนั้น

อย่างไรก็ดี ทางการของประเทศจอร์เจียที่อยู่ติดกันรายงานว่า รัสเซียได้เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ทหารที่บริเวณพรมแดนที่ติดกับตน ซึ่งมีฝูงชนที่ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มรวมตัวกันเพื่อพยายามเดินเท้าข้ามมายังจอร์เจียอยู่

ส่วนหนังสือพิมพ์ The Insider ซึ่งเป็นสื่ออิสระอีกแห่งของรัสเซีย รายงานว่า มีพลเมืองรัสเซียราว 115,000 คนข้ามแดนไปยังจอร์เจียแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอที่ถ่ายทางอากาศซึ่งแสดงให้เห็น ปริมาณรถสะสมที่เข้าแถวยาวถึงกว่า 18 กิโลเมตรเพื่อข้ามไปยังจอร์เจียด้วย

ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า “การระดมพลอาชญากร” ของรัสเซียนั้นเป็น “นโยบายยุคจักรวรรดิ” เพื่อ “สร้างความเสียหายทางกายภาพ” แก่ชนพื้นเมือง

ในช่วงที่เกิดกระแสต่อต้านคำสั่งนี้ ปธน.ปูติน ได้ออกมาตรการใหม่ ๆ ออกมามากมาย โดยเมื่อวันที่ 24 กันยายน มีการลงนามรับรองกฎหมายใหม่ 5 ฉบับเพื่อให้มีการลงโทษทางอาญาต่อผู้ที่ปฏิเสธหรือหลบหนีคำสั่งเกณฑ์ทหาร แปรพักตร์ ทำยุทโธปกรณ์หายหรือเสียหาย และยอมจำนนต่อฝ่ายตรงข้าม

รายงานข่าวระบุว่า มีกฏหมาย 3 ฉบับที่กำหนดบทลงโทษจำคุกถึง 10 ปี ในกรณีที่ไม่ยอมมารายงานตัวหลังได้รับหมายเกณฑ์ ละทิ้งหน้าที่ ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการการรบทางทหาร และยอมจำนนต่อศัตรู

  • ที่มา: ฝ่าย Polygraph วีโอเอ
XS
SM
MD
LG