ลิ้งค์เชื่อมต่อ

จำนวนรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วโลกเพิ่มมากถึงจุดสูงสุดในปีนี้และจะครบหนึ่งพันล้านคัน


หากเรานำเอารถยนต์และรถบรรทุกน้ำหนักเบาคันใหม่ 80 ล้านคันไปใช้งานบนท้องถนนทั่วโลก จะมียานยนต์ทั้งหมดถึง 1,000 ล้านคัน ยานยนต์ส่วนใหญ่ใช้น้ำมัน ปิโตรเลี่ยมเป็นเชื้อเพลิง สร้างควันเสียที่เป็นพิษต่อคุณภาพอากาศและทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

คุณไมเคิล เรนเนอร์แห่งสถาบัน Worldwatch Institute เป็นผู้เขียนบทวิเคราะห์เรื่องการผลิตรถยนต์ให้แก่สถาบันกล่าวว่าผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดยังเป็นประเทศจีนที่มีการเจริญเติบโต มากที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แซงหน้าเยอรมันนี ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา สามประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกไปเรียบร้อยแล้ว

ผลการศึกษานี้พบว่ามีจำนวนรถยนต์ไฮบริดและรถยนตร์พลังงานไฟฟ้าคิดเป็น 2 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนยานยนต์ที่ผลิตออกมาทั้งหมดทั่วโลก แต่บรรดาตัวแทนอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ชี้ว่าพวกเขาใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม คุณสตีฟ บรู้คส์ นักวิเคราะห์แห่ง Edmunds.com บริษัทที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับตลาดรถยนต์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์กำลังตอบสนองต่อความต้องการรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เขากล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่ามีรถยนต์ 43 ประเภทที่แตกต่างกันและกำลังจะนำออกสู่ตลาดภายในปลายปีพุทธศักราช 2558 นี้ อาทิ Honda CR-Z ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าไฮบริด แต่คุณเรนเน่อร์นักวิเคราะห์แห่งสถาบัน Worldwatch Institute กล่าวว่ารถไฟฟ้าจะไม่ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม นอกเสียจากว่าเราหันไปใช้พลังงานที่สะอาดและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้และมีการใช้ระบบเครื่องยนต์แบบใหม่ทดแทนเครื่องยนตร์ดีเซล

เขากล่าวว่าตราบใดที่คนเรายังผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหินและน้ำมัน รถยนต์ไฟฟ้าก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ด้านผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ชี้ว่าการทดลองหาวัสดุใหม่ๆมาใช้ในอุตสากรรมยานยนต์ อาจจะนำไปสู่ก้าวย่างแห่งรถยนตร์ประหยัดพลังงาน
ในอนาคตได้ อาทิ เซลพลังงานที่ได้จากพลังงานน้ำ สารเเม็กนีเซี่ยมที่มีน้ำหนักเบาแต่เเข็งแกร่งตลอดจนสารตั้งต้นคาร์บอน

แต่ก้่าวย่างที่ว่านี้ยังอยู่ห่างไกลออกไปอนาคต คุณสตีฟ เรนเน่อร์ นักวิเคราะห์จากสถาบัน Worldwatch Institute กล่าวว่าราคาน้ำมันที่ถูกเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงประเภทอื่นๆทำให้คนทั่วไปยังขับรถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงกันต่อไป

เขากล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่ารถยนต์ซีดานขนาดกลางยังเป็นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกาแต่รถยนต์ไฟฟ้า ขนาดเล็กกำลังเป็นที่นิยมขับกันมากขึ้นเมื่อราคาน้ำมันเเพงขึ้น

ตามข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ จากปริมาณแก็สเรือนกระจกทั้งหมด 20 เปอร์เซ็นต์เป็นควันเสียจากยานพาหนะตามท้องถนน

สถาบัน Worldwatch Institute ในกรุงวอชิงตัน ย้ำว่า แม้แต่ในประเทศกำลังพัฒนา มีการขับรถไปไหนมาไหนกันมากขึ้นเท่าตัวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บรรดาผู้เชี่ยวชาญชี้ว่ารัฐบาลในประเทศต่างๆต้องพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ดีขึ้นเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและต่อสุขภาพคนอันเกิดจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวกันมากขึ้นนี้
XS
SM
MD
LG