ความเห็นของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ที่กล่าวหาว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการกำหนดผลไว้ล่วงหน้า ได้ก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก ขณะที่นักวิเคราะห์เห็นว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ ค่อนข้างแตกต่างจากครั้งที่ผ่านมาด้วยเหตุผลหลายประการ
ช่วงที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน เผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการลวนลามทางเพศต่อสตรีหลายคน ส่งผลให้คะแนนนิยมของเขาลดลงอย่างต่อเนื่อง
และเมื่อไม่นานนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมากล่าวหาว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการกำหนดผลไว้แล้ว รวมทั้งกล่าวหาว่ามีการโกงด้วย โดยได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนกระแสหลัก
คำกล่าวหาของทรัมป์ก่อให้เกิดเสียงประณามจากนักการเมืองทั้งสองพรรค รวมทั้งจากประธานาธิบดัโอบาม่า ที่กล่าวว่า "ผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหน ต่างไม่พบหลักฐานว่ามีการคดโกงการเลือกตั้งอย่างที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวอ้างแต่อย่างใด"
ขณะเดียวกัน บรรดาผู้เชี่ยวชาญการเลือกตั้งต่างเตือนถึงปัญหาที่จะตามมาในวันเลือกตั้ง
ครั้งนี้ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามกฎหมาย Voting Rights Act ปี ค.ศ. 1964 ซึ่งตุลาการศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ปฏิเสธไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะการกำกับดูแลภายใต้โครงการผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
คุณ Kristen Clarke หนึ่งในคณะกรรมการของ Civil Rights Under Law กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี ที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ จะไม่ส่งผู้สังเกตุการณ์เลือกตั้งไปตามคูหาต่างๆ ทั่วประเทศ
ที่ผ่านมา รวมทั้งการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ส่งผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งกว่า 780 คน ไปตามรัฐต่างๆ 23 รัฐ แต่ในปีนี้จะมีผู้สังเกตการณ์ไปประจำรัฐต่างๆ ไม่ถึง 5 รัฐ
โดยจะมี 14 รัฐ ที่ใช้วิธีออกกฎหมายเลือกตั้งที่มีความเข้มงวดกว่าเดิม รวมทั้งการใช้บัตรผู้เลือกตั้งแบบพิเศษด้วย นอกจากนี้บรรดาองค์กรสิทธิพลเมืองต่างๆ ได้จัดตั้งโทรศัพท์สายด่วนสำหรับผู้ที่พบความผิดปกติในการเลือกตั้งด้วย
(ผู้สื่อข่าว Jeff Swicord รายงาน / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)
