ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในสหรัฐฯ เพิ่มเท่าตัวในสามสัปดาห์ และแพทย์เตือนให้ดูอังกฤษเป็นตัวอย่าง


A man receives a COVID-19 vaccine at a clinic at Mother's Brewing Company in Springfield, Mo., on Tuesday, June 22, 2021.(Nathan Papes/The Springfield News-Leader via AP)
A man receives a COVID-19 vaccine at a clinic at Mother's Brewing Company in Springfield, Mo., on Tuesday, June 22, 2021.(Nathan Papes/The Springfield News-Leader via AP)
Covid-19 Pandemic US Cases Rising Again
please wait

No media source currently available

0:00 0:04:58 0:00

ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่กลายพันธุ์ จากอัตราการเข้ารับวัคซีนที่ชะลอตัวลง และจากกิจกรรมรวมตัวของผู้คนในช่วงวันชาติอเมริกา 4 กรกฎาคม

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แสดงความกังวลว่าคนอเมริกันยังมองไม่เห็นภาพว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งทั้งอัตราการรับวัคซีนที่ไม่ถึงเป้า ความไม่เต็มใจใช้หน้ากาก และการต่อต้านมาตรการควบคุมจากหน่วยงานรัฐบาลยิ่งสร้างปัญหาซับซ้อนขณะที่ยอดติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นเท่าตัวในช่วงสามสัปดาห์หลังนี้

ตามตัวเลขของมหาวิทยาลัย Johns Hopkins นั้นจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ต่อวันในสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมาคือ 23,600 คนซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับ 11,300 คนเมื่อ 20 วันที่แล้ว และตัวเลขที่เพิ่มนี้เกิดขึ้นในแทบทุกรัฐของประเทศ

โดยศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC ระบุว่าในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาห้ารัฐซึ่งมีอัตราการเพิ่มของผู้ติดเชื้อรายใหม่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรมากที่สุดคือรัฐเนวาดา รัฐยูทาห์ รัฐมิสซูรี รัฐอาร์คันซอ และรัฐหลุยส์เซียนาตามลำดับ

นายแพทย์ Bill Powderly ผู้อำนวยการร่วมของภาควิชาโรคติดเชื้อที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัย Washington University ในรัฐมิสซูรีกล่าวว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเพราะตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นหลังกิจกรรมการรวมตัวของผู้คนในช่วงวันหยุดคือวันชาติอเมริกัน 4 กรกฎาคมนั่นเอง

และศูนย์ CDC ของสหรัฐฯ ยังระบุด้วยว่าในระดับประเทศแล้วขณะที่มีคนอเมริกันเพียงแค่ 55.6% เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อยหนึ่งเข็ม และในบางพื้นที่หรือในบางรัฐซึ่งมีแนวคิดต่อต้านการรับวัคซีนนั้นสัดส่วนการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาก็จะอยู่ในระดับสูงด้วย

แต่ปัญหาของการรับมือกับการระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่อัตราการรับวัคซีนซึ่งยังไม่น่าพอใจแต่เพียงอย่างเดียว เพราะยังมีเรื่องความไม่เต็มใจที่จะสวมหน้ากากรวมทั้งความพยายามต่อต้านมาตรการควบคุมจากภาครัฐด้วย

ตัวอย่างเช่นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเขตการปกครองลอสแองเจลีสและที่นครเซ็นต์หลุยส์ของรัฐมิสซูรีได้วิงวอนขอให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วยังคงสวมหน้ากากในสถานที่สาธารณะต่อไป

ส่วนในรัฐมิชิแกนกำลังมีความพยายามผลักดันให้ยกเลิกกฎหมายซึ่งให้อำนาจผู้ว่าการของรัฐในการออกมาตรการควบคุมต่างๆ ซึ่งก็ตรงกันข้ามกับในรัฐอลาบามาที่ผู้ว่าการของพรรครีพับลิกันกลับบอกปัดการใช้มาตรการเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่เชื้อ ทั้งยังประกาศทางสื่อสังคมออนไลน์ว่ารัฐอลาบามากำลังเปิดรับธุรกิจต่างๆ และไม่มีการใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อควบคุมสถานการณ์อีกต่อไป

ส่วนในรัฐมิสซิสซิปปีซึ่งเป็นรัฐทางใต้ที่พรรครีพับลิกันควบคุมอยู่และมีอัตราการรับวัคซีนต่ำที่สุดในประเทศนั้น หน่วยงานสาธารณสุขของรัฐได้ปิดกั้นการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับโควิด-19 บนหน้า Facebook ของตนโดยอ้างเหตุผลว่าเป็นการให้ข้อมูลที่บิดเบือนเกี่ยวกับเชื้อไวรัสและวัคซีน

จะเห็นได้ว่าอัตราการรับวัคซีนที่ยังไม่ถึงเป้า ความไม่เต็มใจใช้หน้ากากและการต่อต้านมาตรการของรัฐบาลเพื่อควบคุมการแพร่เชื้อล้วนมีส่วนช่วยสร้างปัญหาในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา

และถึงแม้ข่าวที่ค่อนข้างดีในขณะนี้ก็คือตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตอาจจะยังไม่สูงเหมือนระดับการติดเชื้อวันละ 250,000 คนเมื่อเดือนมกราคมและตัวเลขการเสียชีวิตวันละ 3,400 คนในช่วงปลายปีที่แล้วก็ตาม

นายแพทย์ James Lawler แห่งศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแห่งรัฐเนบราสกาก็ชี้ว่าการกลับไปสวมหน้ากากและการจำกัดการรวมตัวของผู้คนจะช่วยควบคุมการระบาดของโรคนี้ได้ อย่างไรก็ตามเขาก็ยอมรับว่าหลายพื้นที่ซึ่งมีอัตราการติดเชื้อในระดับสูงนั้นเป็นพื้นที่ๆ ไม่ต้องการใช้มาตรการดังกล่าวมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

นายแพทย์ James Lawler ยังเตือนว่าอเมริกาควรศึกษาตัวอย่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอังกฤษขณะนี้พร้อมทั้งชี้ว่าในพื้นที่ๆ เชื้อสายพันธุ์เดลตาเข้าครอบงำนั้นภาพที่มักได้เห็นคือผู้ป่วยซึ่งเป็นคนวัยหนุ่มสาวอายุราว 30 ปีเศษเต็มห้องไอซียู และตนคิดว่าคนอเมริกันยังมองไม่ออกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นคืออะไร


ที่มา: AP

XS
SM
MD
LG