ตามความเห็นของคณะผู้ว่าการธนาคารชาติ ของประเทศที่อยู่เลยเขตมหาสมุทรแอตแลนติก คณะหนึ่งซึ่งมาประชุมกัน ณ กรุงวอชิงตันเมื่อเร็วๆ นี้นั้น การที่ธนาคารชาติและรัฐบาลของประเทศต่างๆ ดำเนินงานอย่างเข้มแข็ง ระ หว่างที่เกิดวิกฤติการณ์การเงิน ในช่วงปีพุทธศักราช 2551 และปีพุทธศักราช 2552 ทำให้โลกรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปได้
ข่าวดีก็คือว่าหลังจากเศรษฐกิจหดตัวเล็กน้อย ในปีพุทธศักราช 2552 แล้ว กองทุนการเงินระหว่างประเทศ คาดหมายว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวในอัตรากว่า 4 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ การที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวนี้ อาจทำให้คนพากันลืมไปอย่างง่ายดายว่า เศรษฐกิจของชาติอุตสาหกรรมรายที่สำคัญๆ นั้นเกือบจะล่มสลายไปในช่วงหนึ่งปีเศษๆ มานี้เอง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ก็เกือบจะเป็นของแน่ว่าโลกจะประสพภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เหมือนอย่างที่เคยประสพกันมาแล้ว ในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2473
ผู้ว่าการของระบบธนาคารกลางอเมริกัน ที่นครดัลลาส รัฐเทคซัส ริชาร์ด ฟิชเช่อร์กล่าวปราศรัยต่อที่ประชุม ของบรรดาผู้ว่าการธนาคารชาติของประเทศทางยุโรป และประเทศอื่นๆว่า การที่ธนาคารชาติและรัฐบาลของประเทศต่างๆ เข้าแทรกแซงอย่างแข็งขัน ทำให้หลีกเลี่ยงความหายนะดังกล่าวไปได้
ส่วนกรรมการบริหารของระบบธนาคารกลางแห่งยุโรป เจอร์เก้น สตาร์กกล่าวว่าการที่ธนาคารชาติต่างๆ ใช้วิธีลดอัตราดอกเบี้ย และปล่อยเงินสดเข้าสู่ตลาดสินเชื่อ ซึ่งเป็นวิธีแก้ภาวะที่สินเชื่อแข็งตัว ควบไปกับการที่รัฐบาลของประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่โต เพิ่มงบรายจ่ายอย่างมหาศาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นทำให้ประสพความสำเร็จ
แต่ข้อเสียของการทำเช่นนั้นก็คือ เกิดภาวะหนี้สินเป็นจำนวนมหึมา
กรรมการบริหารของระบบธนาคารกลางแห่งยุโรป เจอร์เก้น สตาร์กกล่าวไว้ตอนนี้ว่า “ รัฐบาลของประเทศส่วนใหญ่ จะหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา โดยที่งบประมาณขาดดุลยภาพเป็นจำนวนสูงที่สุด และภาวะหนี้สินสูงที่สุด เมื่อเทียบกับผลผลิตมวลรวมของชาติในยามสันติ “คุณ เจอร์เก้น สตาร์ก กล่าวด้วยว่า การที่งบประมาณขาดดุล เป็นจำนวนมหาศาลนี้จะเป็นตัวเหนี่ยวรั้งการเติบโต
