การดีเบทรอบแรกของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จัดขึ้นที่นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ในวันพฤหัสบดี ไม่ใช่การประจันหน้าครั้งแรกระหว่าง โจ ไบเดน และ โดนัลด์ ทรัมป์ และชาวอเมริกันก็ยังจำได้ดีว่า เมื่อทั้งคู่ขึ้นเวทีโต้อภิปรายกันเมื่อวันที่ 29 กันยายน ปี 2020 บรรยากาศเป็นอย่างไรบ้าง
ในครั้งนั้น ทรัมป์ ซึ่งกำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกและ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต โต้คารมกันอย่างเมามันเป็นระยะจนผู้ชมฟังแทบไม่ออกว่าใครพูดอะไรบ้าง
โดยมีบางช่วงที่ทรัมป์แสดงจุดยืนและความมั่นใจของตนว่า ทำหน้าที่ผู้นำประเทศได้ดี และกล่าวว่า ได้ทำสิ่งต่าง ๆ มากมายในช่วง 47 เดือนในทำเนียบขาว มากกว่าระยะเวลา 47 ปีของอาชีพนักการเมืองของไบเดนเสียอีก ขณะที่ ไบเดน มุ่งเน้นการนำเสนอนโยบายของตน
แต่ตลอดเวลา 90 นาทีของการดีเบทครั้งนั้น สิ่งที่ผู้ชมหลายคนจดจำได้ก็คือ ความวุ่นวายบนเวทีและการพูดแทรกขัดกันระหว่างสองผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี
จน คริส วอลเลซ ผู้ดำเนินรายการครั้งนั้นต้องออกปากให้ทั้งสองคนหยุดทะเลากันได้แล้ว
ผู้สื่อข่าว วีโอเอ ได้ออกไปสอบถามประชาชนตามท้องถนนเกี่ยวกับสิ่งที่จำได้จากการดีเบทครั้งก่อน และส่วนใหญ่ของคำตอบที่ได้ก็สะท้อนมุมมองที่ว่า
ไฮดี ฮาร์เดน ซึ่งสนับสนุนไบเดน บอกว่า มันนานเสียจนเธอแทบจำไม่ได้แล้ว ขณะที่ เจเรมี ลอริน ซึ่งสนับสนุนทรัมป์ จำได้ว่า ทรัมป์คือผู้ที่โต้อภิปรายได้เหนือกว่า ส่วน อดัม เบย์ลี ผู้สนับสนุนไบเดน ให้ความเห็นว่า “ดูออกเลยว่า ทรัมป์พยายามใช้ลูกเล่นแบบเด็ก ๆ คอยขัดอยู่ตลอดเวลา และไบเดนก็ไม่ยอมทนกับพฤติกรรมเช่นนั้นเลย”
สำหรับการดีเบทครั้งนี้ สถานการณ์เหล่านั้นน่าจะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยเก่าอีกภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะเมื่อผู้ดำเนินรายการปิดไมโครโฟนของผู้ที่ไม่ได้มีคราวจะต้องพูดตอบใด ๆ
และเงื่อนไขดังกล่าวก็ได้รับการตอบรับเชิงบวก อย่างน้อยจาก เชต อีเดิลแมน ที่สนับสนุนไบเดน ซึ่งบอกว่า ตนเองหวังเหลือเกินว่า ผู้จัดงานจะไม่ต้องออกกฎนี้ออกมา แต่เมื่อดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในคราวที่แล้ว นี่ถือเป็นนโยบายและมาตรการที่ดี
ในส่วนของสาระเนื้อหาของการดีเบทครั้งที่แล้ว ประเด็นหนึ่งที่หลายคนจำได้ก็คือ เมื่อผู้ดำเนินรายการขอให้อดีตปธน.ทรัมป์ประณามกลุ่มชาตินิยมเชิดชูคนผิวชาว (white supremacist) แต่คำตอบที่ออกจากปากกลับเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นเหมือนคำเตือนภัยมากกว่า
นั่นเป็นเพราะทรัมป์ไม่ได้ตำหนิกลุ่มดังกล่าว และพูดเพียงว่า “กลุ่มพราวด์ บอยส์นะหรือ จงหยุดและรอก่อน” เท่านั้น
อีกประเด็นหนึ่งคือ เมื่อทั้งสองผู้ท้าชิงได้รับคำถามว่า จะยอมรับผลการเลือกตั้งที่ออกมาหรือไม่
ในครั้งนั้น ทรัมป์กล่าวว่า “ถ้ามันเป็นการเลือกตั้งที่ยุติธรรม ผมก็เห็นด้วย 100% แต่ถ้าผมเห็นบัตรลงคะแนนนับหมื่นใบที่มีตุกติก ผมก็จะไม่สามารถยอมรับเรื่องนั้นได้”
ขณะที่ ไบเดน กล่าวว่า ตนจะยอมรับผลเลือกตั้ง และว่า “เขาก็จะยอมรับด้วย รู้ไหมว่าทำไม เพราะว่า เมื่อมีการประกาศผู้ชนะ หลังมีการนับบัตรเลือกตั้งครบหมดแล้ว มีการนับคะแนนหมดแล้ว นั่นก็หมายถึงการสิ้นสุด(ของกระบวนการเลือกตั้ง)”
แต่เมื่อผลออกมาว่า ทรัมป์คือ ผู้พ่ายแพ้ กลุ่มผู้สนับสนุนของอดีตประธานาธิบดีรายนี้ก็พากันบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม เพื่อหวังพลิกผลการเลือกตั้ง
ในการดีเบทครั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า ไม่ว่าจะออกมาในรูปใด ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่ตัดสินใจแล้วก็ไม่น่าจะเปลี่ยนใจอีก
ปีเตอร์ ลอจ ผู้อำนวยการวิทยาลัยกิจการสาธารณะและสื่อ ที่มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน ให้ความเห็นว่า กลุ่มผู้สนับสนุน โจ ไบเดน จะไม่สนใจเวลาที่ไบเดนพูดผิดหรือให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง เพราะว่า “นั่นเป็นโจ ไบเดน ตัวจริง” ที่เป็นอย่างนั้นมาตลอด ขณะที่ ผู้สนับสนุนทรัมป์ก็จะไม่ต่างกันมากและจะพูดประมาณว่า “ก็นั่นคือ ทรัมป์ ไง เป็นคนที่คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ... ฟังเขาอย่างจริงจัง แต่ไม่ทุกตัวอักษร”
สำหรับการดีเบทรอบที่ 2 นั้น มีกำหนดจัดขึ้นในเดือนกันยายนแล้ว แต่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะเป็นไปในบทเวทีดีเบทในค่ำคืนวันพฤหัสบดีนี้
- ที่มา: วีโอเอ
กระดานความเห็น