ลิ้งค์เชื่อมต่อ

ทรัพยากรน้ำมัน กำลังจะหมดโลกแล้วจริงหรือ?


ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งความต้องการพลังงานและปริมาณการ ผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ต่างเป็นปัจจัยที่ทำให้นักวิเคราะห์หลายคน พากันกังกล ว่าปริมาณน้ำมันสำรองของโลกจะเริ่มลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า

แต่ยังมีอีกหลายฝ่ายที่เห็นว่าปริมาณน้ำมันที่ลดลงนั้น เป็นไปอย่างช้าๆ ค่อยเป็น ค่อยไป ซึ่งหมายถึง น้ำมันจะยังคงเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดไปอีกนาน หลายศตวรรษ

ความคิดที่ว่าทรัพยากรน้ำมันมีจำนวนจำกัดนั้นเกิดขึ้นโดยนักธรณีวิทยาอเมริกัน M. King Hubbert ผู้ซึ่งเสนอแนวคิดเรื่อง Peak Oil นี้เมื่อกว่า 50 ปีที่แล้วว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบสำรองลดลงทั่วโลก จากแนวคิดของคุณ Hubbert ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนรวมทั้งคุณ David Strahan นักหนังสือพิมพ์และหนึ่ง ในคณะกรรมการของศูนย์วิเคราะห์เรื่องการลดลงของปริมาณน้ำมันโลกในกรุงลอนดอน เชื่อว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คือภายในปี ค.ศ.2020 ปริมาณการผลิตน้ำมัน โลกจะเพิ่มถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะเริ่มลดลงราว 3-4%

ในขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์บางคนเช่นอาจารย์ Kenneth Medlock ผู้เชียวชาญด้านพลังงานจากมหาวิทยาลัย Rice ในรัฐเท็กซัส กล่าวว่า ในช่วง3 ปีที่ผ่านมา แม้ความต้องการน้ำมันจะเพิ่มขึ้นทั่วโลก แต่บรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันต่าง พยายามกักเก็บปริมาณน้ำมันสำรองไว้เพื่อให้ได้ผลกำไรสูงสุด ส่งผลให้ราคา น้ำมันดิบโลกเพิ่มสูงสุดเป็นสถิติใหม่เกิน 100 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล ในขณะที่บาง คนก็บอกว่าเป็นเพราะค่าเงินดอลล่าร์อ่่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ทำให้ราคาน้ำมันดิบโดยเปรียบเทียบสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ยังมีนักวิชาการบางส่วนที่เชื่อว่า ปริมาณน้ำมันดิบสำรองโลกจะยัง คงไม่ลดลงมากจนน่าตกใจในอนาคตอันใกล้นี้

คุณ Michael Economides อาจารย์ด้านวิศวกรรมเคมีและชีวโมเลกุลแห่ง University of Houston เป็นอีกผู้หนึ่งที่คิดว่า Peak Oil หรือช่วงที่ปริมาณการ ผลิตน้ำมันเพิ่มถึงจุดสูงสุดนั้นจะเกิดขึ้นแน่ๆ แต่น่าจะเป็นช่วงปี ค.ศ.2040 หรืออาจจะถึง 2050 คือประมาณ 30-40 ปีจากปัจจุบัน หลังจากนั้นจะลดลงเล็ก น้อยหรือคงที่ต่อไปอีกหลายสิบหลายร้อยปี หมายความว่าในอนาคต โลกจะยังคงผลิตน้ำมันเพียงพอรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้ต่อไปอีกนานนะครับ นอกจากนี้ อาจารย์ Economides ยังบอกอีกว่า เทคโนโลยีและวิธีการ ขุดเจาะสมัยใหม่ ทำให้ค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆมากมายทั่วโลก

อาจารย์จาก University of Houston ผู้นี้บอกว่า เมื่อ 15 ปีที่แล้วนั้น หากขุดหาบ่อน้ำมัน 10 บ่อ แล้วเจอแค่หนึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่ทุกวันนี้ใน 10 บ่อจะต้องเจอถึง 7 บ่อ เพราะเทคโนโลยีการค้นหาแหล่งน้ำมันมีประสิทธิภาพ มากขึ้น จนสามารถขุดลึกลงไปได้ถึง 1 หมื่นฟุตใต้ผิวโลก ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เมื่อ 15 ปีที่แล้ว

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำให้ปัจจุบันสามารถขุดหาแหล่งน้ำมันได้มากขึ้นและมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ คุณ Michael Economides ยังบอกอีกว่า แม้ในอนาคตแหล่งน้ำมันสำรองจะถูกขุดมาใช้จนหมด แต่ความต้องการพลังงาน ความจำเป็นทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จะเป็นแรงผลักดัน ให้มีการพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่นๆ ต่อไป

บรรดานักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องต้องกันนะครับว่า หากน้ำมันหมดโลกจริงๆ คงจะสร้างความสับสนวุ่นวายต่อระบบเศรษฐกิจโลกและเสถียรภาพทางการเมือง ของประเทศต่างๆอย่างใหญ่หลวง อย่างไรก็ตาม อาจารย์ Kenneth Medlock จากมหาวิทยาลัย Rice ในรัฐเท็กซัส เหตุการณ์ณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับว่าปริมาณน้ำมันจะลดลงอย่างรวดเร็วแค่ไหน

อาจารย์ Medlock บอกว่า หากลดลงช้าๆค่อยเป็นค่อยไป ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะ ไม่สาหัสเท่าใดนัก แต่หากลดลงอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว ประเทศผู้บริโภคน้ำ มันรายใหญ่ๆ เช่น อเมริกา จีน อินเดีย จะมีต้นทุนด้านพลังงานเพิ่มขึ้นมาก จนอาจไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไว้ได้ สรุปคือหากน้ำมันลดลง อย่างรวดเร็ว จะเกิดภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่อย่างแน่นอน

ผู้เชี่ยวชาญต่างระบุว่าราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและปริมาณน้ำมันที่ลดลงจะเป็นปัจจัย กระตุ้นให้เกิดการสำรวจและพัฒนาพลังงานทางเลือกอื่นที่ถูกกว่า เช่นถ่านหิน และแก๊สธรรมชาติ แต่ที่แน่ๆ เวลานี้สิ่งที่กำลังจะหมดไปจากโลกก็คือ น้ำมันราคา ถูก คุณ Eric Cheney นักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยในรัฐวอชิงตัน เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่ยืนยันว่า ราคาน้ำมันจะไม่กลับมาอยู่ที่ระดับ 10 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลเหมือนใน อดีตอีกแล้ว แต่จะอยู่ที่ระดับปัจจุบันคือ 100 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล และจะเพิ่มขึ้น อีกในอนาคต สิ่งเดียวที่ประชาชนทั่วไปจะทำได้คือกัดฟันทนต่อไป หากทนไม่ไหวก็จอดรถยนต์ไว้ที่บ้านเฉยๆ จะดีกว่า

XS
SM
MD
LG