อเมริกาปรับโฉม “ออฟฟิสไร้สัมผัส” หลังโควิด-19

Touchless Coffee Machine

Your browser doesn’t support HTML5

Business News


การระบาดของโควิด-19 ได้เปลี่ยนวิถีการทำงานของชาวอเมริกันไปมากมาย และความปกติใหม่ได้เปลี่ยนรูปโฉมของสำนักงานในอเมริกา ให้เพิ่งระบบไร้การสัมผัสและการรักษาระยะห่างในที่ทำงานมากขึ้น พร้อมให้พนักงานกลับไปเริ่มงานในอาคารได้ในอนาคตอันใกล้

จุดเปลี่ยนที่เห็นได้ชัด คือ ห้องพักเบรคของพนักงาน ที่จะเข้าไปชงกาแฟหรือสนทนาเรื่องทั่วไปช่วงพักเบรคจากการทำงานในแต่ละวัน บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยแก้ปัญหานี้

ตลาดกาแฟและเครื่องชงกาแฟในอาคารสำนักงานในอเมริกาเป็นธุรกิจใหญ่ จากมูลค่าตลาด 5,700 ล้านดอลลาร์เมื่อปีก่อน แต่จากการระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้พนักงานอเมริกันต้องทำงานจากบ้านเป็นส่วนใหญ่ และกระทบกับธุรกิจส่วนนี้อย่างมาก

ตอนนี้หลายบริษัทอย่าง Nestle ผลิตเครื่องชงกาแฟแบบไร้สัมผัส เพียงแค่จ่อนิ้วไปใกล้ๆ หน้าจอเท่านั้น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ส่วน Lavazza ผลิตเครื่องชงกาแฟให้สั่งเครื่องดื่มผ่านแอปพลิเคชันได้ หรือบริษัท Bunn สร้างระบบสั่งกาแฟผ่าน QR code ให้สั่งกาแฟผ่านเว็บไซต์ เพื่อให้ชงกาแฟถ้วยโปรดด้วยเครื่องที่ออฟฟิสข้างๆ ตัวเราได้เอง

Alicia LeBeouf เจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัท Canteen ผู้ให้บริการด้านอาหาร บอกว่า การเปลี่ยนแปลงของบริการอาหารในที่ทำงาน เป็นโจทย์ใหญ่ในช่วงโควิด-19 เพราะบรรดาคนทำอาหารตามโรงอาหารในออฟฟิสใหญ่ๆ ต้องถูกแทนที่ด้วยรูปแบบศูนย์อาหารแบบไร้สัมผัสกับผู้คน

Touchless Payment

บริษัท Verizon, UnitedHealth Group Inc. และ Microsoft เริ่มหันมาใช้เครื่องชงกาแฟแบบไร้สัมผัส และที่บริษัท Mohawk Industries หันมาใช้ตู้เย็นแบบใหม่ที่ใช้เท้าเหยียบแทนมือจับ และที่โรงอาหารในอาคารสำนักงานของ FedEx ได้เปลี่ยนรูปแบบการจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันเฉพาะในโรงอาหารขององค์กร

ขณะที่รูปแบบในออฟฟิสก็เปลี่ยนไปหลังโควิด-19 โดย Tom Vecchione เจ้าหน้าที่จากบริษัทสถาปนิก Vocon ในมหานครนิวยอร์ก เผยว่า บริษัทตัดสินใจนำประตูและฉากกั้นต่างๆ ออก เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการรักษาระยะห่างภายในพื้นที่ส่วนกลางของที่ทำงานให้มากขึ้น และเปลี่ยนเก้าอี้ทำงานเดิมให้เป็นเก้าอี้ไร้พนักพิง เพื่อกระตุ้นไม่ให้พนักงานนั่งอยู่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งนานเกินจำเป็น

การศึกษาของบริษัทวิจัย GoodFirms ในกรุงวอชิงตัน ที่ศึกษาข้อมูลจาก 168 บริษัททั่วโลก พบว่า ราว 1 ใน 3 ของพนักงานจะต้องกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิส โดยราว 60% ของพนักงานทั่วโลกอยากกลับเข้ามาทำงาน แต่กว่าครึ่งหนึ่งในนั้นกังวลเรื่องความปลอดภัยเมื่อกลับไปทำงานตามปกติ