สำรวจทิศทางฐานเสียง "ปธน.ทรัมป์-ไบเดน" แรงศรัทธาปะทะความกลัว

FILE - In this combination of file photos, former Vice President Joe Biden speaks in Wilmington, Del., on March 12, 2020, left, and President Donald Trump speaks at the White House in Washington on April 5, 2020.

Your browser doesn’t support HTML5

AP Norc Poll Biden Trump


การสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันที่เป็นทั้งผู้สนับสนุนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต โดย สำนักข่าว AP และ สถาบันวิจัย NORC Center for Public Affairs Research พบว่า ผู้ที่ยืนอยู่ฝั่งของอดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งพรรคเดโมแครต ไม่ได้มีความกระตือรือร้นทั้งเรื่องของตัวผู้สมัครและนโยบายหาเสียง มากเท่ากับผู้สนับสนุนปธน.ทรัมป์

ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ราว 31 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่สนับสนุนอดีตรองปธน.ไบเดน ระบุว่า ตนตื่นเต้นที่จะได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งน้อยกว่า 42 เปอร์เซ็นต์ของผู้สนับสนุนผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน

นอกจากนั้น ผู้ที่อยู่ฝั่งพรรคเดโมแครตถึง 72 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่า อยู่ในห้วงความคิดความรู้สึกด้านลบเกี่ยวกับสถานการณ์การเลือกตั้ง ซึ่งสูงกว่าระดับ 52 เปอร์เซ็นต์ของฝั่งผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน

ตัวอย่างที่อธิบายผลสำรวจนี้ได้คือ ความเห็นของ อันยา คูมาร์ วัย 18 ปี ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายจากรัฐมิสซูรี และบอกกับทีมงานสำรวจว่า ตนต้องการจะไปเลือกตั้ง เพราะความกังวลว่า ปธน.ทรัมป์ จะชนะและได้ดำรงตำแหน่งในวาระที่ 2 ต่อ มากกว่าเพราะความตื่นเต้นและความหวังในตัวผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต

ทีมงานหาเสียงของอดีตรองปธน.ไบเดน กล่าวว่า ประเด็นความรู้สึกของผู้ใช้สิทธิ์เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ดูต่างจากของอีกฝั่งนั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะการที่คะแนนความนิยมในตัวปธน.ทรัมป์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 38 เปอร์เซ็นต์ต่างหากที่ชี้ให้เห็นว่า แรงหนุนของฝั่งรีพับลิกันอ่อนตัวลงจนเหลือไม่มากแล้ว

รายงานการสำรวจเปิดเผยด้วยว่า ผู้มีสิทธิ์ใช้เสียงเพียง 32 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เห็นด้วยกับวิธีการรับมือการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ของผู้นำสหรัฐฯ และเมื่อเจาะลึกลงไปที่ฐานเสียงของปธน.ทรัมป์ ก็พบว่า แม้ผู้สนับสนุนเกือบทั้งหมดจะชื่นชอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำคนปัจจุบัน มีเพียง 2 ใน 10 คนเท่านั้นที่รับกับแผนจัดการโควิด-19 ของรัฐบาลได้

สเตซีย์ โรกัส ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันวัย 43 ปีจากรัฐแอริโซนาซึ่งทำงานอยู่ในแวดวงการแพทย์ ยอมรับว่า เธอรู้สึกกังวลเกี่ยวกับตัวปธน.ทรัมป์ ซึ่งเป็นคนประเภทหลงตัวเอง และไม่ค่อยทำตัวเหมือนประธานาธิบดีอย่างที่เธอหวัง ทั้งยังชอบพูดก่อนคิดด้วย

แต่กระนั้น โรกัส ก็ยืนยันว่าจะลงคะแนนเสียงให้ปธน.ทรัมป์ อยู่ในตำแหน่งต่อเพราะชื่นชอบในนโยบายเศรษฐกิจและเพราะเธอสนับสนุนนโยบายการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก

ยิ่งไปกว่านั้น เธอสงสัยว่า ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งก็คือ พรรคเดโมแครต น่าจะพยายามสร้างภาพทำให้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ดูน่ากลัวกว่าที่เป็นจริง เพื่อโจมตีปธน.ทรัมป์ และเธอคิดด้วยว่า ช่วงเวลาการเกิดการระบาดนี้ดูเหมาะเจาะกับการเตรียมการเลือกตั้ง “จนน่าแปลกใจไปหน่อย”

เมื่อกลับมาดูทางฝั่งอดีตรองปธน.ไบเดน การสำรวจพบว่า 6 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามชื่นชอบบุคลิกลักษณะและสิ่งที่ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตนำเสนอ เช่น “ความห่วงใยในความเป็นอยู่ของประชาชน” “ความซื่อสัตย์” และ “การมีความเป็นผู้นำที่เข็มแข็ง”

อีกประเด็นที่มีการสอบถามประชาชนทั่วไปคือ ความคิดเห็นเกี่ยวกับ “ความสามารถ” ของทั้งคู่ ซึ่งสะท้อนภาพการยอมรับความสามารถด้านสติปัญญาและด้านการปกครองเป็นหลัก และผลที่ได้มาคือ 53 เปอร์เซ็นต์เห็นว่า อดีตรองปธน.ไบเดน มีความสามารถดังว่า เทียบกับผลสำรวจ 43 เปอร์เซ็นต์ที่มองว่า ปธน.ทรัมป์ โดดเด่นในเรื่องนี้

แต่โดยรวมแล้ว อาจกล่าวได้ว่า ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน มีความเชื่อในคุณลักษณะความสามารถโดยรวมของผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันในสัดส่วนที่สูงกว่า สิ่งที่ผู้สนับสนุนของตัวแทนพรรคเดโมแครต ไม่ว่าจะเป็น ด้านการยืนหยัดในสิ่งที่ตนเชื่อ ด้านการเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง และด้านความสามารถโดยรวม ที่ผู้สนับสนุนปธน.ทรัมป์มอบให้ถึง 87 เปอร์เซ็นต์ 75 เปอร์เซ็นต์ และ 76 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าคะแนน 63 เปอร์เซ็นต์ 50 เปอร์เซ็นต์ และ 56 เปอร์เซ็นต์ ที่อดีตรองปธน.ไบเดน ได้รับ

เทอร์เรนซ์ เบรินาโต ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตวัย 72 ปี จากรัฐเวอร์จิเนีย ให้ความเห็นว่า แม้ว่ฐานเสียงของผู้นำสหรัฐฯ อาจจะชื่นชอบในตัวปธน.ทรัมป์อยู่มาก เขาเชื่อว่า ท้ายที่สุด คะแนนความนิยมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันซึ่งหดหายไปเรื่อยๆ ต่างหากที่เป็นตัวชี้วัดผลการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ พร้อมยืนยันว่าจะลงคะแนนให้อดีตรองปธน.ไบเดน เพราะว่า ปธน.ทรัมป์คือ “ประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดที่สหรัฐฯ เคยมีมา”