อวดรวยหรือช่วยเหลือ?! ชาวสหรัฐฯ รับคำท้าใหม่ “จ่ายทิป 100%”

FILE - In this June 19, 2008 file photo, a tip is left by a customer at Linda's Place Restaurant in St. Clair Shores, Mich. (AP Photo/Paul Sancya, file)

การท้าทายในสื่อสังคมออนไลน์ที่เกิดขึ้นมากมาย ทั้งการท้าเต้น การเหยียบกล่องในจินตนาการ หรือ icebucketchallenge

ตอนนี้ที่สหรัฐฯ กำลังมีความท้าทายใหม่ ที่บรรดาคนที่ประกอบอาชีพในภาคบริการคงยิ้มออก สำหรับ #TipTheBillChallenge ที่ท้าให้คุณจ่ายทิปหลังรับบริการต่างๆ 100% หรือเท่ากับค่าอาหารหรือเครื่องดื่มในร้านอาหารหรือบาร์ที่จ่ายไป

ตอนนี้ชาวสหรัฐฯจำนวนมาก แห่แชร์ภาพบิลค่าอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมกับเขียนตัวเลขค่าทิป หรือ ค่าบริการที่จะเจียดให้กับบริกรหญิงชายในร้าน เท่ากับราคาค่าอาหารหรือเครื่องดื่มที่พวกเขาซื้อไป พร้อมกับแฮชแทค #TipTheBillChallenge เพื่อเป็นการปลุกกระแสถึงปัญหาของค่าแรงของผู้คนในอาชีพสายบริการ ที่ออกมาเรียกร้องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ในอเมริกาผู้ที่ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟตามร้านอาหาร อาจจะได้ค่าแรงเป็นรายชั่วโมงในอัตราที่ไม่สูงนัก หรืออาจจะได้เพียงทิป หรือค่าบริการสำหรับบริกร ที่ลูกค้าจะเจียดให้ ในอัตราเริ่มต้นที่ 10% ของค่าอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งถือเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานที่ทำรายได้อย่างไม่แน่นอนสำหรับเหล่าบริกร

ยิ่งไปกว่านั้น รายได้จากทิปที่ลูกค้าให้ก็ไม่ได้ตกไปถึงพนักงานเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะทางร้านจะมีการหักค่าทิปในอัตราเริ่มต้นที่ 3% ของทิปที่พวกเขาได้ในแต่ละวันหรือแต่ละกะด้วย

หลังจากกระแส #TipTheBillChallenge เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็มีทั้งผู้ที่สนับสนุนและคัดค้าน โดยฝ่ายสนับสนุน มองว่าเป็นการแสดงน้ำใจให้กับการบริการที่ดีของพนักงาน แต่กลุ่มที่คัดค้าน มองว่าเป็นการช่วยเหลือฝั่งนายจ้างให้หลีกเลี่ยงการจ่ายค่าจ้างที่แท้จริงให้กับพนักงาน ซึ่งไม่ใช่แนวทางในการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ผลสำรวจจาก YouGoV Poll เมื่อปี 2017 พบว่า 44% ของชาวอเมริกันอยากให้ล้มเลิกธรรมเนียมการเจียดเงินค่าทิป เพื่อแลกกับการจ่ายค่าแรงที่สูงขึ้นให้กับพนักงานในภาคบริการ ซึ่งมีการรณรงค์และผลักดันมานาน เช่น โครงการรณรงค์ Fight for $15 ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวด้านสังคม เพื่อให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง โดยปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำทั่วอเมริกา ยังคงอยู่ที่ 7.25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงอยู่ ตามข้อมูลของนิตยสารฟอร์บส​