สองปีหลังปิดพรมแดนทุกด้านป้องกันโควิด-19 เกาหลีเหนืออาจต้องเดินหน้าล็อกดาวน์ต่อไป

Virus Outbreak North Korea

เมื่อเชื้อโควิด-19 เริ่มระบาดที่เมืองอู่ฮั่นเมื่อราวสองปีที่แล้วนั้นเกาหลีเหนือปิดพรมแดนแทบทุกด้านของตนเพราะระบบสาธารณสุขที่เปราะบางทำให้เกาหลีเหนือไม่สามารถรับมือกับการระบาดใหญ่ของโรคนี้ได้ แต่เกือบสองปีเต็มให้หลังดูเหมือนว่าเกาหลีเหนือยังไม่มีวิธีอื่นใดนอกจากการล็อกดาวน์ที่จะรับมือกับโควิด-19 อย่างได้ผล ขณะนี้นอกจากเกาหลีเหนือแล้วก็มีเพียงเอริเทรียเท่านั้นซึ่งเป็นสองประเทศในโลกที่ปฏิเสธการรับวัคซีนจากต่างชาติรวมทั้งจากโครงการ COVAX ของสหประชาชาติด้วย เพราะตามรายงานของวีโอเอเมื่อเดือนกรกฎาคม เกาหลีเหนือมีความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิผลและผลข้างเคียงของวัคซีน AstraZeneca ซึ่งโครงการ COVAX จัดสรรให้ นอกจากนั้นรัฐบาลกรุงเปียงยางก็ไม่ต้องการให้มีเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ต่างชาติเข้ามาในประเทศเพื่อช่วยรณรงค์ฉีดวัคซีนด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขบางคนเช่นคุณ Kee Park ของวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดกล่าวว่าการล็อกดาวน์และปิดพรมแดนอย่างรวดเร็วรวมทั้งคำสั่งจำกัดการเดินทางของผู้คนในประเทศอาจมีส่วนช่วยควบคุมการระบาดของโรคและทำให้ไม่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากได้ เพราะโควิด-19 จะไม่สามารถแพร่เชื้อได้หากผู้คนไม่เดินทางหรือเคลื่อนย้ายไปมา อย่างไรก็ตามปัญหาเศรษฐกิจจากการล็อกดาวน์ในเกาหลีเหนือขณะนี้ก็กำลังรุนแรงขึ้นเพราะการปิดพรมแดนไม่รับความช่วยเหลือจากต่างชาติทำให้อาหารเริ่มขาดแคลนและมีราคาแพง โดยคุณ Lee Sang Yong หัวหน้ากองบรรณาธิการของสิ่งพิมพ์ Daily NK ในกรุงโซลให้ข้อมูลว่าขณะนี้ผู้คนทั่วไปในเกาหลีเหนือมีอาหารพอทานได้เพียงวันละสองมื้อไม่ใช่สามมื้อ และสัดส่วนระหว่างข้าวกับข้าวโพดซึ่งเดิมอยู่ที่ 7 ต่อ 3 นั้นขณะนี้กลับมาเป็น 3 ต่อ 7 แม้จะมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเกาหลีเหนืออาจกำลังพยายามเปิดพรมแดนเพื่อค้าขายกับจีนเพราะภาพถ่ายดาวเทียมแสดงว่าเกาหลีเหนือกำลังสร้างศูนย์ฆ่าเชื้อหลายแห่งสำหรับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศแต่การกลับไปเปิดพรมแดนติดต่อกับจีนก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะทั้งสองประเทศต่างใช้นโยบายคุมโควิดให้เป็นศูนย์ นอกจากนั้นหากเกาหลีเหนือจะเปลี่ยนแนวทางมาอยู่ร่วมกับโควิดแล้วรัฐบาลกรุงเปียงยางก็จะต้องยอมรับวัคซีนจากต่างประเทศด้วย ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในเกาหลีเหนือขณะนี้อาจไม่ร้ายแรงเหมือนปัญหาทุพภิกขภัยหรือการขาดแคลนอาหารขนานใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 1990 ก็ตาม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขอย่างคุณ Kee Park จากวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดก็ชี้ว่านายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือมองโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ครั้งนี้ว่าเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจการปกครองของตน และแทนที่จะยอมเปิดพรมแดนบางส่วนเพื่อรับความช่วยเหลือ นายคิม จอง อึน ก็อาจรู้สึกจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการควบคุมต่อไป และนั่นก็หมายถึงว่าการล็อกดาวน์ในเกาหลีเหนือยังจะดำเนินต่อไปนั่นเอง ที่มา: VOA