ผู้เชี่ยวชาญแนะวิธี 'ปรับสมดุล' ทำงานจากบ้านไปพร้อมกับการดูแลลูก

Your browser doesn’t support HTML5

Work Life Balance Under Pandemic


การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสได้เปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตประจำวันของคนเรา และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างหนึ่งคือการดูแลเด็กๆ นั่นเอง

การที่สถานดูแลเด็กหลายรายต้องปิดตัวลงเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการด้านความปลอดภัย เช่นเดียวกับโรงเรียน สำนักงาน และบริษัทธุรกิจต่าง ๆ ตลอดจนข้อจำกัดทางสังคมที่เข้มงวดขึ้น ทำให้บรรดาผู้สูงอายุไม่สามารถช่วยดูแลหลาน ๆ ได้ ปัญหาที่ไม่คาดคิดทั้งหลายจึงตกไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นคนทำงาน นั่นก็คือการที่ต้องทำงานจากที่บ้านพร้อมกับลูก ๆ ที่ต้องทำงานของโรงเรียนไปด้วย

พ่อแม่หลายคนต้องทำงานหนักในขณะเดียวกันก็ต้องดูแลลูกหลานที่เรียนออนไลน์ไปพร้อมกัน แม้แต่บริษัทต่าๆ ที่มีหน้าที่เตรียมรับมือกับการระบาดใหญ่ก็ไม่ทันตั้งตัวที่จะต้องรับมือกับปัญหานี้

AstraZeneca บริษัทผู้ผลิตยาของประเทศอังกฤษ ใช้เวลาหลายปีในการเตรียมตัวรับมือกับวิกฤตสุขภาพ แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง ทางบริษัทกลับไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะช่วยให้พนักงานทำงานที่บ้านพร้อมกับดูแลลูก ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทได้สอบถามพนักงานจำนวน 8,300 คนเกี่ยวกับการดูแลเด็ก และพบว่าพนักงานอย่างน้อย 1,100 คนกำลังต้องการความช่วยเหลือ

AstraZeneca จึงพยายามหาวิธีต่าง ๆ เพื่อช่วยบุตรหลานของพนักงาน เช่น การว่าจ้างครูประมาณ 80 คนเพื่อจัดชั้นเรียนออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อให้สามารถวางแผนการเรียนการสอนได้ง่าย และมีครูสอนพิเศษสำหรับเด็กที่ต้องการการเรียนการสอนแบบตัวต่อตัวอีกด้วย

บริษัทธุรกิจอื่น ๆ ทั่วโลกก็ใช้วิธีที่คล้ายกันในการช่วยเหลือพนักงานของตนให้สามารถทำงานผ่านวิกฤตสุขภาพไวรัสโคโรนาไปได้

SAP บริษัทธุรกิจซอฟต์แวร์ของประเทศเยอรมนีได้จัดเตรียมให้มีการเรียนออนไลน์สำหรับบุตรหลานของพนักงาน ชั้นเรียนเหล่านั้นมีทั้งการสอนการแสดงมายากล เต้นรำ และดนตรี เป็นต้น

ส่วนที่อิตาลี บริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ Pirelli ร่วมกับ Radiomamma.it เพื่อเปิดชั้นเรียนออนไลน์และกิจกรรมสนุก ๆ ให้แก่เด็ก ๆ โดยวิชาภาษาอังกฤษ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีเป็นชั้นเรียนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่ได้รับการสนับสนุนดังกล่าวจากนายจ้าง หลายคนต้องรับมือกับงานของตนพร้อมทั้งดูแลลูก ๆ และการเรียนหนังสือออนไลน์ของลูกด้วยตัวเอง

Mary Shelley ผู้อำนวยการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่มหาวิทยาลัย University of Maryland ที่อยู่นอกกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า เมื่อลูกชายของเธอเปลี่ยนมาเรียนหนังสือแบบออนไลน์ เธอจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ในการจัดการเรื่องการเรียนหนังสือของลูกชายวัย 13 ปี

Shelly กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอก็คือการตื่นแต่เช้าและเตรียมตัวให้พร้อมก่อน จากนั้นก็จัดลำดับความสำคัญของงานว่าอะไรที่ต้องทำก่อนหลัง

นอกจากนี้การมีกิจวัตรประจำวันก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้สามารถกำหนดเวลาสำหรับสิ่งที่ต้องทำ เช่น การตื่นนอน การเรียนหนังสือ พักผ่อน รับประทานอาหาร และออกกำลังกาย ส่วนการสร้างกิจวัตรประจำวันร่วมกับลูก ๆ นั้นควรให้เด็กๆ ช่วยออกความเห็นด้วยเพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองได้มีส่วนร่วมออกความคิดเห็นในกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย

หลังจากที่สร้างกิจวัตรประจำวันขึ้นมาแล้ว ก็ต้องดูว่าเหมาะสมกับครอบครัวของตนหรือไม่ และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงกิจกรรมต่าง ๆ ได้เสมอ

สำหรับครอบครัวของ Shelly สิ่งเดียวที่สอดคล้องกันโดยสิ้นเชิงคือการทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนเวลาอาหารเย็น เพื่อให้ลูกชายของเธอมีเวลาว่างในตอนเย็น และพ่อแม่ก็ไม่ต้องวุ่นวายกับลูกในตอนเย็นด้วย

สิ่งเหล่านี้นี้ช่วยให้ Mary Shelley สามารถรักษาสมดุลระหว่างชีวิตในบ้านและชีวิตการทำงานได้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความสมดุลนี้มีความสำคัญเนื่องจากคนจำนวนมากยังต้องทำงานที่บ้านกันต่อไป