กลุ่มองค์กรเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน 15 กลุ่มได้ออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ลงมือจัดการแก้ปัญหาให้มีการยกเว้นข้อผูกพันจากนโยบายปกป้องคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสำหรับวัคซีนโควิด-19 ที่ค้างคาอยู่ที่องค์การการค้าโลก (World Trade Organization – WTO) ตามรายงานของสำนักข่าว รอยเตอร์
องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International - AI) ฮิวแมนไรตส์วอตช์ (Human Rights Watch) และอ๊อกแฟม (Oxfam) ร่วมกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ อีก 12 แห่งลงนามในจดหมายที่ส่งถึงผู้นำสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้มีการพิจารณาให้การยกเว้นการบังคับใช้นโยบายดังกล่าวเป็นกรณีฉุกเฉินโดยด่วน เพื่อช่วยทั่วโลกต่อสู้กับการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัส พร้อมอ้างว่า ปัจจุบัน มีประชากรในประเทศรายได้ต่ำไม่ถึง 7% ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 เข็มแรกแล้ว ขณะที่ภาวะขาดแคลนวัคซีนยังรุนแรงอยู่ในหลายพื้นที่
รายงานข่าวระบุว่า มีผู้คนกว่า 5.4 ล้านคนเสียชีวิต นับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่พบเป็นครั้งแรกในประเทศจีนเมื่อเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2019
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปธน.ไบเดน สั่งให้มีการยกเว้นการบังคับใช้กฎด้านสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญาไปแล้ว แต่จวบจนบัดนี้ ยังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเท่าใดนัก โดยทางฝั่งสหภาพยุโรป อังกฤษ และสวิตเซอร์แลนด์ ออกโรงต้านท่าทีนี้ โดยอ้างเหตุผลว่า การยกเว้นนโยบายดังกล่าวจะไม่เป็นผลดีต่อการลงทุนและความสำเร็จด้านงานวิจัยที่ดำเนินมาเป็นเวลานานนับปี
และเมื่อเดือนที่แล้ว ทำเนียบขาวร้องขอให้ประเทศสมาชิก WTO ทั้งหมดสนับสนุนการดำเนินมาตรการยกเว้นการบังคับใช้กฎคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเป็นการชั่วคราว และ เอ็นโกซี โอคอนโจ-ไอวีเอลา ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก ก็กำลังผลักดันให้มีการบรรลุข้อตกลงนี้ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรี WTO ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่นครเจนีวา ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน และ 3 ธันวาคมนี้ด้วยแล้ว
รอยเตอร์ รายงานว่า จดหมายเรียกร้องจากองค์กรสิทธิมนุษยชนนั้น ระบุว่า ทุกกลุ่มที่ลงนามนั้น “รู้สึกผิดหวังอย่างมาก” ว่า รัฐบาลปธน.ไบเดน ไม่ได้ทำการใดๆ เพิ่มเติมเพื่อให้บรรลุข้อตกลงการยกเว้นดังกล่าว นับตั้งแต่ออกคำสั่งด้านนี้มาเมื่อ 6 เดือนก่อน และได้เรียกร้องให้ ผู้นำสหรัฐฯ ลงมือใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จให้ได้ ซึ่งหากเป็นไปตามที่ร้องขอ ปธน.ไบเดน ก็จะช่วยยุติภาวะระบาดใหญ่ทั่วโลกได้ พร้อมๆ กับพิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นว่า สหรัฐฯ กลับคืนมาเป็นผู้นำโลกอีกครั้งแล้วจริงๆ