สื่อต่างชาติรายงานเหตุสลดยิงกราดในจังหวัดหนองบัวลำภู ที่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 38 ราย ซึ่งรวมถึงเด็ก 24 คน ขณะที่ รัฐบาลนานาชาติร่วมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ครั้งนี้
การยิงกราดที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กแห่งหนึ่งในวันพฤหัสบดี โดยอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกไล่ออกจากราชการเมื่อปีที่แล้วเนื่องจากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับยาเสพติดและกำลังถูกดำเนินคดีในชั้นศาลจากข้อหาดังกล่าว กลายเป็นประเด็นข่าวที่สื่อทั่วโลกให้ความสนใจนำเสนอทันที
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ รายงานโดยอ้างข้อมูลจากสื่อในไทย ว่า ปัญญา คำราบ อดีตนายตำรวจวัย 34 ปี คือ ผู้ก่อเหตุสลดครั้งนี้
หนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ 34 คนในศูนย์รับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ที่มีเด็ก ๆ อยู่ราว 30 คน โดยมือปืนบุกเข้าไปในพื้นที่เวลา 12.30 น. ซึ่งเป็นเวลานอนพักกลางวันของเด็ก ๆ ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ โดยในกลุ่มเด็กที่เสียชีวิตนั้นมีบางรายที่มีอายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น
ซีเอ็นเอ็น รายงานโดยอ้างข้อมูลจาก พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ว่า ผู้ก่อเหตุเพิ่งไปขึ้นศาลในจังหวัดหนองบัวลำภู ก่อนจะบุกเข้ายิงกราดในศูนย์รับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ “ขณะที่เด็ก ๆ กำลังนอนกันอยู่” ส่วน แอลเอ ไทมส์ อ้างข้อมูลจากคำแถลงของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า หลังก่อเหตุแล้ว มือปืนพยายามหลบหนีจนขับรถชนผู้คนไปหลายคนด้วย
สำนักข่าวเอพี รายงานว่า พยานในเหตุการณ์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ของศูนย์รีบล็อกประตูทันทีเมื่อเห็นมือปืนปรากฎตัวขึ้นพร้อมอาวุธ แต่นายปัญญาก็ใช้ปืนยิงประตูบุกเข้าไปภายในจนได้
รายงานข่าวที่อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเปิดเผยว่า นายปัญญา ยิงเจ้าหน้าที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก 4-5 คน ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ท้องแก่คนหนึ่ง ก่อนจะบุกเข้าไปในห้องที่เด็ก ๆ นอนกลางวันอยู่ แต่ข่าวระบุด้วยว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจสูงกว่านี้ ถ้าผู้ปกครองหลายคนไม่ตัดสินใจให้ลูก ๆ อยู่บ้านเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน เพราะพายุฝนฟ้าคะนองหนักในช่วงนี้
รายงานชิ้นนี้ยังอ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า นายปัญญาใช้ปืนลูกซอง ปืนสั้น และมีดในการก่อเหตุ ก่อนจะหลบหนีจากจุดเกิดเหตุและขับรถกลับไปยังบ้านของตน และสังหารภรรยาและลูก พร้อมตัวเองในเวลาต่อมา
พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า มือปืนใช้ปืนพกขนาด 9 ม.ม.ของตนเองในเหตุการณ์ครั้งนี้ และกล่าวว่า ตนเชื่อว่า นายปัญญาน่าจะกระทำการต่าง ๆ ขณะที่ตกอยู่ในฤทธิยาแอมเฟตามีนอยู่
และขณะที่การสืบสวนหาสาเหตุของการยิงกราดครั้งนี้ยังดำเนินอยู่ มีหลายฝ่ายที่สงสัยว่า นายปัญญา น่าจะมีปัญหาด้านสุขภาพจิตด้วย
รายงานจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า มีประชาชนราว 1.5 ล้านคนในไทยที่ประสบภาวะซึมเศร้าอยู่ในเวลานี้
ขณะที่ นิวยอร์กไทมส์ ชี้ว่านี่คือ เหตุยิงกราดที่ร้ายแรงที่สุดในไทย นับตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2020 ที่นายทหารรายหนึ่งใช้ปืนไรเฟิลยิงเข้าใส่ผู้คนในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งจนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 29 ราย สื่อต่างชาติทุกแห่งระบุเหมือนกันว่า เหตุ 'การยิงกราด' นั้นถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยในไทย แต่การที่มีอาวุธปืนนับพันกระบอกกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศนั้น เป็นประเด็นที่ทางการไทยกังวลอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับโอกาสการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงจากการใช้ปืน
นิวยอร์กไทมส์ ยังอ้างอิงข้อมูลจาก gunpolicy.org ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรภายใต้มหาวิทยาลัยแห่งซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และรายงานว่า มีปืนอยู่กว่า 10.3 ล้านกระบอกในไทยที่ประชาชนเป็นเจ้าของ ในปี ค.ศ. 2017 โดยมีเพียงราว 6 ล้านกระบอกเท่านั้นที่มีการขึ้นทะเบียนไว้กับเจ้าหน้าที่
และเมื่อคำนวณดูจากจำนวนประชากรของประเทศที่ราว 69 ล้านคน อัตราการครอบครองปืนของประชาชนนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 15 กระบอกต่อประชากร 100 คน ซึ่งยังต่ำกว่าในสหรัฐฯ ในปีเดียวกันที่ 120 กระบอกต่อประชากร 100 คน
ถึงกระนั้น นิวยอร์กไทมส์ชี้ว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีอัตราการครอบครองปืนโดยพลเรือนและอัตราการเกิดการฆาตกรรมด้วยอาวุธปืนที่เพิ่มขึ้นรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ทั้งยังเป็นตลาดใต้ดินสำหรับการซื้อขายอาวุธปืนที่สำคัญแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการ Human Rights Watch บอกกับ วีโอเอ ว่า ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการควบคุมปืน และควรมีการลงมือทำการบางอย่างเพื่อจัดการกับเรื่องนี้ด้แล้ว
โรเบิร์ตสัน ระบุในอีเมล์ที่ส่งให้ วีโอเอ ว่า “โศกนาฎกรรมที่ไม่มีใครคาดคิดถึงมาก่อนนี้คือ สัญญาณเรียกร้องให้มีการลงมือแก้ปัญหา สิ่งที่ชัดเจนแล้วก็คือ ประเทศไทยนั้นเต็มไปด้วยปืน ทั้งแบบที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย และนี่คือเหตุยิงกราดครั้งที่สองในรอบสองปี ถึงเวลาที่ไทยจะตื่นขึ้นมาและตระหนักว่า การปกป้องประชาชนชนนั้นหมายถึง การควบคุมสถานการณ์ให้ได้ มากกว่าจะมองว่านี่คือ เหตุการณ์ที่ ‘เกิดขึ้นครั้งเดียว’ ซึ่งไม่ต้องใส่ใจมากก็ได้”
และภายหลังมีรายงานข่าวสลดนี้ออกมา ผู้นำและตัวแทนรัฐบาลหลายประเทศได้ออกมาแสดงความเสียใจกันทันที
The Embassy of the United States of America in Bangkok is saddened by the tragic event in Nong Bua Lam Phu Province. We stand with the people of Thailand and offer our deepest condolences to the victims and their families. https://t.co/IGVFleIxk2
— U.S. Embassy Bangkok (@USEmbassyBKK) October 6, 2022
สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์ที่ระบุว่า “สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยสะเทือนใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในจังหวัดหนองบัวลำภู เรายืนหยัดเคียงข้างพี่น้องชาวไทย และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต รวมทั้งครอบครัวของพวกเขา”
I am shocked to hear of the horrific events in Thailand this morning. My thoughts are with all those affected and the first responders. The UK stands with the Thai people at this terrible time. https://t.co/c5MTGBuHw2
— Liz Truss (@trussliz) October 6, 2022
ส่วน ลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ทวีตข้อความที่ระบุว่า “ดิฉันตกใจที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศไทย ดิฉันขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่ได้รับกระทบทุกคนและส่งความห่วงใยไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย สหราชอาณาจักรยืนหยัดเคียงข้างไทยในช่วงเวลาอันน่าหดหู่นี้”
It’s impossible to comprehend the heartbreak of this horrific news from Thailand. All Australians send their love and condolences.
— Anthony Albanese (@AlboMP) October 6, 2022
และ แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เป็นผู้นำโลกอีกรายที่ทวีตข้อความแสดงความเสียใจต่อเหตุสลดนี้ โดยระบุว่า “ข่าวอันน่าเศร้าสลดใจในประเทศไทยเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะทำใจได้ ชาวออสเตรเลียทุกคนขอแสดงความห่วงใยและความเสียใจต่อเหตุการณ์ครั้งนี้”
- ที่มา: วีโอเอ เอพี รอยเตอร์ นิวยอร์กไทมส์ เดอะ การ์เดียน แอลเอ ไทมส์