นักวิจัยเชื่อว่าการขยายช่วง Daylight Saving Time ออกไปจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพและยังช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ส่วนหนึ่ง

  • ทรงพจน์ สุภาผล

Fall

ในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ตามเวลาในสหรัฐ คนอเมริกันต้องหมุนนาฬิกากลับไปหนึ่งชั่วโมงซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดช่วง Daylight Saving Time หรือเวลาออมแสง ซึ่งใช้กันทั่วไปในประเทศทางตะวันตก ได้แก่แถบยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา และประเทศในตะวันออกกลางบางประเทศ เพื่อให้มีเวลาในช่วงกลางวันหรือช่วงที่แสงอาทิตย์สาดส่องนานขึ้นหนึ่งชั่วโมง อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเชื่อว่าการขยายช่วง Daylight Saving Time นี้ออกไปจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพและยังช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ส่วนหนึ่ง

ในช่วงเริ่มต้น Daylight Saving Time หรือเวลาออมแสง หรือที่บางประเทศเรียกกันว่า Summer Time ซึ่งเริ่มในช่วงเดือนมีนาคมหรือเมษายนของทุกปีนั้น คือการปรับนาฬิกาให้เร็วไปหนึ่งชั่วโมงจนหลายคนอาจปรับตัวไม่ทัน ตื่นสาย มาทำงานช้าไปตามๆกัน แต่ในช่วงสิ้นสุด Daylight Saving Time ซึ่งปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน ประชาชนในสหรัฐต้องปรับนาฬิกาย้อนกลับไปหนึ่งชั่วโมงเป็นการชดเชย เท่ากับจะมีเวลาในการนอนหลับพักผ่อนในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง

นักวิจัยเชื่อกันว่าช่วงเวลาออมแสงนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยเฉพาะในเขตที่อยู่ทางตอนเหนือที่มีอากาศหนาวเย็น การได้รับแสงแดดเพิ่มขึ้นแม้จะเพียง 1 ชม.หมายความว่าร่างกายได้รับวิตามินดีจากแสงแดดนานขึ้น ซึ่งการได้รับวิตามินดีในปริมาณที่เหมาะสมหมายถึงการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกอ่อน และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังช่วยให้ผู้คนมีเวลาออกกำลังกายในช่วงกลางวันหรือตอนบ่ายมากขึ้น นอกจากนี้การมีช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์สาดส่องนานขึ้นนั้น ยังช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานเพื่อสร้างความอบอุ่นและสร้างแสงสว่างให้แก่บ้านเรือนในเขตหนาวอีกด้วย โดยรายงานจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ชี้ว่าแนวคิดนี้จะช่วยลดการใช้พลังงานประจำวันลงได้อย่างน้อย 0.3% และช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วงฤดูหนาวลงได้ถึง 450,000 เมตริกตัน

บางประเทศในยุโรปเช่นอังกฤษและรัสเซียกำลังพยายามรณรงค์ให้ยกเลิกการหมุนเวลากลับในช่วงสิ้นสุด Daylight Saving Time เพื่อรักษาเวลาในช่วงกลางวันให้นานขึ้นหนึ่งชั่วโมงต่อไป คุณ Mayor Hillman นักวิจัยแห่งสถาบันนโยบายศึกษาในอังกฤษอ้างถึงงานวิจัยในสก๊อตแลนด์ที่ชี้ให้เห็นว่าการคงช่วงเวลาออมแสงต่อไป ตลอดจนการเพิ่มเวลา Daylight Saving Time หรือ Summer Time ในฤดูร้อนเป็นสองชั่วโมง จะช่วยให้ผู้คนมีเวลารับแสงแดดเพิ่มขึ้นอีกถึง 300 ชั่วโมงในหนึ่งปี

นักวิจัย Hillman ระบุไว้ในวารสารการแพทย์อังกฤษว่า ผู้คนดูจะมีความสุขมากขึ้น มีพลังเพิ่มขึ้นและยังช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยได้ในระยะยาว ในขณะที่คุณหมอ Robert Graham แห่งโรงพยาบาล Lenox Hill ในนครนิวยอร์คเห็นด้วยว่า การไม่หมุนนาฬิกาย้อนกลับในช่วงต้นฤดูหนาวจะช่วยให้ผู้คนอยากออกนอกบ้านมาออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น เรียกว่าเป็นการส่งเสริมสุขภาพและลดการใช้พลังงานในบ้านโดยไม่ต้องมีต้นทุนค่าใช้จ่ายอะไรเลย