สรุปสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ประจำปี 2008

ปี 2008 เริ่มต้นด้วยสัญญาณที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐชลอตัวลง แต่ไม่มีสิ่งบอกเหตุให้ได้รู้กันในตอนนั้นว่า จะเกิดวิกฤติการเงินขึ้นในเวลาต่อมา

สถานการณ์คับขันเริ่มแสดงตัวออกมาในเดือนมีนาคม เมื่อธุรกิจการเงินทางด้านการเคหะล่มสลาย และลุกลามไปในยุโรปและเอเชีย ถึงช่วงเดือนตุลาคม นักเศรษฐศาสตร์ Jeff Kling ของสถาบัน Brookings ในกรุงวอชิงตันบอกว่า ถ้าจะให้เปรียบเทียบสภาพเศรษฐกิจในตอนนั้นกับคนไข้ในห้องฉุกเฉินแล้ว ก็เหมือนกับคนที่มีอาการหัวใจวาย

นักเศรษฐศาสตร์ผู้นี้กล่าวว่า ในช่วงเดือนตุลาคมนั้น ไม่มีกระแสเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ธนาคารไม่ยอมให้กู้เงิน แม้กระทั่งช่วงข้ามคืนระหว่างธนาคารด้วยกันเอง และว่า ไม่ได้เห็นอาการแตกตื่นขนาดนี้มาตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930

และแม้รัฐสภาสหรัฐจะอนุมัติให้เงินกู้ช่วยเหลือธุรกิจการเงินในประเทศมูลค่า 7 แสนล้านดอลล่าร์ในเดือนตุลาคม ก็ยังไม่มีอาการหรือความก้าวหน้าให้เห็นอย่างชัดเจน

ขณะเดียวกัน รายงานล่าสุดของสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่กรุงวอชิงตัน พยากรณ์ว่า อัตราการโตของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะเป็นลบ ซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เริ่มต้นทำสถิติเรื่องนี้มาในปีค.ศ. 1960

นักเศรษฐศาสตร์ Philip Suttle ของสถาบันการเงินระหว่างประเทศ กล่าวว่า รายงานของสถาบันคาดว่า เศรษฐกิจโลกปีหน้าจะลดลงเกือบครึ่งเปอร์เซ็นต์ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เศรษฐกิจโลกไม่เคยหดตัวลงมาก่อนเลย ที่แล้วๆมา เมื่ออัตราการโตในส่วนใดของโลกเป็นลบ ก็จะมีที่อื่นที่ก้าวหน้าเติบโตมาช่วยหักกลบลบกันไปได้

รายงานฉบับนี้กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจะดำเนินต่อไปในเศรษฐกิจใหญ่ๆของโลก เช่น สหรัฐ ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น ส่วนเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีนและอินเดียนั้น จะชลอตัวลง

และต่อคำถามที่ว่า ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจะยืดเยื้อยาวนานสักแค่ไหน นักเศรษฐศาสตร์ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่ในเรื่องนี้