เสียงร้องของลิงชิมแพนซีคือภาษาที่ซับซ้อน

SCIENCE-CHIMPANZEES/

นักวิทยาศาสตร์ที่สำรวจต้นกำเนิดวิวัฒนาการของภาษาได้พบระบบการสื่อสารด้วยเสียงในหมู่ลิงชิมแพนซีป่าที่มีความซับซ้อนและมีโครงสร้างมากกว่าที่เคยทราบมา โดยระบุว่าชิมแพนซีมีการใช้เสียงร้องหลายสิบแบบรวมกันเป็นลำดับต่างๆ หลายร้อยลำดับ

นักวิจัยได้บันทึกเสียงร้องมากกว่า 4,800 เสียงของชิมแพนซีสามกลุ่มที่อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Taï National Park ของไอวอรี่ โคสต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในป่าเขตร้อนเก่าแก่ในแอฟริกาตะวันตกและเป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์นานาชนิด

ลิงชิมแพนซี และลิงโบโนโบเป็นสัตว์ที่มีกลไกทางพันธุกรรมใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด นอกจากนี้ พวกมันยังเป็นลิงที่ฉลาดและเป็นมิตร สามารถใช้เครื่องมือต่างๆ และยังสามารถเรียนรู้ภาษามือของมนุษย์ได้อีกด้วย

นักวิทยาศาสตร์ทราบมานานแล้วว่าชิมแพนซีสามารถใช้เสียงต่างๆ ได้มากมายในป่า แต่การศึกษาฉบับนี้มีการศึกษาการสื่อสารภายในสายพันธุ์อย่างละเอียด

เซดริก จิราร์ด-บัทโทซ นักนิเวศวิทยาด้านพฤติกรรมจากหน่วยงานวิจัยของฝรั่งเศส CNRS's Institute for Cognitive Science และเป็นหัวหน้าการเขียนรายงานการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Communications Biology ในสัปดาห์นี้ กล่าวว่า "เสียงร้องของลิงไม่ใช่ภาษา แต่เป็นรูปแบบการสื่อสารที่ซับซ้อนที่สุดที่อธิบายไว้ในหมู่สัตว์ที่มีความคล้ายมนุษย์ชนิดนี้

Chimpanzee

ทั้งนี้ เสียงร้องประเภทต่างๆ ของชิมแพนซี ได้แก่ เสียงฮึดฮัดไม่สบอารมณ์ เสียงหวูด เสียงเห่า เสียงหอน เสียงหอบ เสียงกรีดร้อง เสียงครวญคราง เสียงหอบคำราม และการเอามือตบที่ริมฝีปากปากที่ไม่ใช่เสียงร้อง และการเป่าปาก นักวิจัยระบุว่า เสียงเหล่านี้ถูกใช้ใน 390 ลำดับที่แตกต่างกัน

ลำดับเสียงที่ลิงชิมแพนซีเปล่งออกมานั้นดูจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์และโครงสร้าง แม้ว่าการศึกษานี้จะไม่ได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับความหมายที่อาจเป็นไปได้ก็ตาม

จิราร์ด-บัทโทซ กล่าวอีกว่า “การค้นพบที่สำคัญก็คือ ความสามารถของลิงชิมแพนซีในการสร้างลำดับเสียงที่มีโครงสร้างหลายๆ ลำดับ และรวมลำดับเสียงเล็กๆ เข้าไปอีกครั้งด้วยการส่งเสียงสองครั้งในลำดับเสียงที่ยาวขึ้นโดยเพิ่มเสียงร้องเข้าไป เรื่องนี้มีความสำคัญเพราะเป็นการแสดงให้เห็นหลักฐานของการสื่อสารที่มีโครงสร้างซึ่งอาจเป็นรากฐานของวิวัฒนาการไปสู่รูปแบบไวยากรณ์ในภาษาของมนุษย์เรา" ทั้งนี้ ไวยากรณ์ก็หมายถึงการจัดเรียงคำและวลีเพื่อสร้างประโยคที่เข้าใจได้

นักวิจัยต้องการที่จะเรียนรู้ว่าลำดับเสียงต่างๆ สื่อถึงความหมายที่กว้างขึ้นในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ซับซ้อนของชิมแพนซีหรือไม่ และพวกเขายังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความหมายที่น่าจะเป็นไปได้ของการเปล่งเสียงบางอย่างอีกด้วย

จิราร์ด-บัทโทซ กล่าวเสริมว่า "เราจำเป็นต้องสำรวจรายละเอียดบริบทของการปล่อยเสียงเหล่านี้เพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงระหว่างการเปล่งเสียงครั้งเดียวและเป็นลำดับหรือไม่ จากนั้นก็ต้องทดลองเปิดเสียงเหล่านี้เพื่อดูว่าความหมายที่คาดเดาไว้นั้น จะตรงกับปฏิกิริยาทางพฤติกรรมของชิมแพนซีหรือไม่เมื่อพวกมันได้ยินเสียงร้องเหล่านั้น”

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่แน่ใจว่าการสื่อสารด้วยเสียงของชิมแพนซีอาจจะมีความคล้ายคลึงกับจุดเริ่มต้นของภาษาในวิวัฒนาการของมนุษย์หรือไม่ เนื่องจากมนุษย์และชิมแพนซีนั้น มีบรรพบุรุษร่วมกัน แต่แยกสายเลือดออกจากกันเมื่อประมาณ 7 ล้านปีก่อน

  • ที่มา: รอยเตอร์