ศาสตราจารย์ Anne-Mieke Vandamme ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัย Leuvan ในเบลเยี่ยมกล่าวว่าทางมหาวิทยาลัยมีความร่วมมือกับประเทศคิวบาและเจ้าหน้าที่การแพทย์ของคิวบาได้แจ้งว่าเริ่มพบว่ามีคนไข้ที่ติดเชื้อเอชไอวีเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วแต่กลับป่วยด้วยโรคเอดส์เร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก
ศาสตราจารย์ Vandamme และทีมการแพทย์จากมหาวิทยาลัย Leuvan ได้ศึกษาผู้ติดเชื้อ 70 กว่าคนและได้แบ่งผู้ติดเชื้อออกเป็นหลายๆ กลุ่มและมีกลุ่มหนึ่งที่มีเฉพาะผู้ติดเชื้อที่พัฒนาเป็นโรคเอดส์อย่างรวดเร็ว
ศาสตราจารย์ Vandamme กล่าวว่าผู้ติดเชื้อที่พัฒนาเป็นโรคเอดส์อย่างรวดเร็วนี้ล้วนแต่เพิ่งติดเชื้อเอชไอวีไปเมื่อไม่นานนี้เอง ที่รู้เช่นนั้นก็เพราะผู้ป่วยมีผลตรวจเลือดยืนยันว่าติดเชื้อเอชไอวีราวหนึ่งถึงสองปีที่แล้ว
ทางทีมงานได้ืทำการเน้นศึกษาเอชไอวีสายพันธุ์นี้โดยเฉพาะเพื่อค้นหาว่าทำไมจึงแตกต่าง แล้วพบว่ามันเป็นเชื้อเอชไอวีที่เกิดจากการรวมตัวกันใหม่ของเอชไอวีสายพันธุ์ย่อยสายพันธุ์
ทีมนักวิจัยชี้ว่าเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่ที่พบเกิดจากการผสมของเชื้อเอชไอวีสามสายพันธุ์ย่อยที่เรียกว่า A กับ D และ G รวมกันและได้ตั้งชื่อให้ว่า CRF19
ศาสตราจารย์ Vandamme กล่าวว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่นี้มีปริมาณไวรัสในกระแสเลือดสูงมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์รองตัวอื่น ทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์ว่าทำไมเชื้อเอชไอวีตัวใหม่จึงทำให้ผู้ติดเชื้อพัฒนาเป็นเอดส์อย่างรวดเร็ว
ศาสตราจารย์ Vandamme ชี้ว่าในก่อให้เกิดการติดเชื้อในร่างกาย เชื้อเอชไอวีจะเกาะติดกับเซลล์ที่ทางการแพทย์เรียกว่า co-receptors
ศาสตราจารย์ Vandamme กล่าวว่ามีตัว co-receptors สองชนิดที่เชื้อเอชไอวีเข้าไปเกาะติดเพื่อก่อให้เกิดการติดเชื้อ ตัวแรกคือ CCR 5 และ CXCR4 ในกรณีปกติ การก้าวหน้าของโรคจากเชื้อเอชไอวีจนกลายเป็นโรคเอดส์เกิดจากเชื้อเอชไอวีสลับตัว co-receptor โดยตอนเเรกเชื้อเอชไอวีจะเริ่มต้นด้วยการเกาะติดกับ CCR 5 ก่อน เมื่อผ่านไปหลายปีมันจะเปลี่ยนไปเกาะ co-receptor อีกตัวหนึ่งคือ CXCR4 และเมื่อขั้นตอนสลับตัว co-receptor เกิดขึ้น ผู้ป่วยจะพัฒนาเป็นโรคเอดส์อย่างรวดเร็ว
แต่ในกรณีที่เกิดขึ้นในคิวบา แทนที่เชื้อเอชไอวีจะใช้เวลานานหลายปีก่อนจะสลับตัว co-receptor มันจะสลับภายใน 3 ปีหลังเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ศาสตราจารย์ Vandamme กล่าวว่าการรวมเอาเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ D เข้าไว้ในเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่อาจจะเป็นกุญแจสำคัญเพราะมันมีเอนไซม์ตัวหนึ่งที่ช่วยให้เชื้อเอชไอวีตัวใหม่สามารถแบ่งตัวได้ในจำนวนมากและยังนำโปรตีนจากเอชไอวีสายพันธุ์รองอื่นๆ ไปใช้ในการสร้างไวรัสตัวใหม่ๆ ด้วย
อย่างไรก็ดี ข่าวดีคือยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ใช้กันส่วนมากใช้ได้ผลดีในการบำบัดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์ใหม่นี้ที่ก้าวร้าวนี้ แต่ข่าวร้ายคือกว่าผู้ติดเชื้อจะรู้ตัวว่าติดเชื้อก็เข้าสู่ช่วงเป็นเอดส์เต็มขั้นไปแล้วทำให้การบำบัดด้วยยาต้านไวรัสไม่ได้ผล
ศาสตราจารย์ Vandamme กล่าวว่าเคยพบเชื้อเอชไอวีกลายพันธุ์นี้มาแล้วในแอฟริกาแต่มีผู้ป่วยเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับเชื้อและไม่แพร่ระบาดในวงกว้างในทวีปแอฟริกา
