อินโดนีเซียออกกฎหมายมาเมื่อปีค.ศ. 2009 ที่ระบุว่า ยาสูบเป็นสารเสพติด แต่เวลานี้มีผู้ยื่นฟ้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญของประเทศ ตัดสินว่า ข้อความในกฎหมายที่ให้คำจำกัดความว่า ยาสูบเป็นสารเสพติด เป็นการเลือกปฏิบัติต่อชาวไร่ยาสูบ
ศาสตราจารย์ Saldi Isra ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายรัฐธรรมนูญของมหาวิทยาลัย Andalas ในสุมาตราตะวันตก ให้การในศาลว่า ข้อความที่ว่านั้นขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ นักกฏหมายผู้นี้กล่าวต่อไปว่า รัฐธรรมนูญให้สิทธิประชาชนทุกคนในการทำงานเลี้ยงชีพ และการเลือกปฏิบัติต่อชาวไร่ยาสูบ ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ
ที่เป็นประเด็นต่อสู้กันในชั้นศาลก็เพราะ ถ้าศาลไม่ให้ตัดข้อความนั้นออกจากกฎหมาย บริษัทยาสูบก็อาจถูกห้ามโฆษณาในทุกรูปแบบ ส.ส. Bambang Sukarno ซึ่งเป็นผู้แทนราษฎรจากแหล่งเพาะปลูกยาสูบในภาคกลางของเกาะชวา โต้แย้งว่า ตัวยาสูบเองนั้น ในทางเทคนิค ไม่ใช่สารเสพติด หากแต่มีสารเสพติด คือ นิโคทีนบรรจุอยู่
ศาสตราจารย์ Sutiman Bambang Sumitro ซึ่งสอนวิชาจุลชีววิทยา อยู่ที่มหาวิทยาลัย Brawijaya ในชวาตะวันออก ให้การไว้ในศาลในเดือนที่แล้วว่า สามารถใช้วิชาเคมีทาง nanochemistry กับยาสูบ และนำยาสูบนั้นมาบำบัดแก้โรคมะเร็งได้
นักชีววิทยาผู้นี้บอกว่า สามารถแปรพิษในยาสูบ และนำมาใช้ประโยชน์ดังกล่าวได้ รวมทั้งยังเป็นไปได้ที่จะกำจัดอนุมูลอิสระ หรือ free radicals ออกจากยาสูบ เพื่อลดความเสี่ยงต่อผู้สูบบุหรี่ และผู้ที่ต้องสูดควันบุหรี่แม้จะไม่สูบเองก็ตาม
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ Aris Widodo ซึ่งสอนวิชาเภสัชกรรมอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน บอกกับศาลด้วยว่า ยังไม่เคยเห็นใครเสียชีวิตเพราะยาสูบ นักวิชาการผู้นี้บอกว่า ตัวการที่ทำให้ผู้คนต้องเจ็บไข้ได้ป่วย คือความเครียด และการสูบบุหรี่ช่วยคลายความเครียด โดยไม่ต้องซื้อยาแพงๆมารับประทาน
แต่ดร. Hakim Sorimuda Pohan สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ช่วยร่างกฎหมายฉบับปีค.ศ. 2009 ยืนยันว่า ที่ศาลต้องพิจารณาเรื่องนี้อีก เป็นความพยายามอีกครั้งหนึ่งของอุตสาหกรรมยาสูบที่จะให้ตัดข้อความที่ว่านั้นออก และยืนยันว่า ยาสูบเป็นสารเสพติดอย่างปฏิเสธไม่ได้
นักการเมืองผู้นี้กล่าวว่า เรื่องยาสูบเป็นสารเสพติดนั้น เป็นวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ไม่มีใครปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ นอกจากผู้ที่ไม่พูดความจริงเท่านั้น
องค์การอนามัยโลกกล่าวไว้ว่า ยาสูบทำให้ผู้สูบบุหรี่ราวๆครึ่งหนึ่งเสียชีวิต หรือคิดเป็นตัวเลข มากกว่าห้าล้านคนต่อปี นอกจากนั้นยังเกี่ยวโยงกับโรคมะเร็งต่างๆ รวมทั้งมะเร็งที่ปอด กะเพาะปัสสาวะ ที่ทรวงอก และที่ลำไส้ใหญ่ นอกเหนือไปจากโรคหัวใจและโรคเส้นโลหิตอุดตัน
